top of page

ความสุขที่ตามหา

ประสบการณ์ภาวนา คุณกันยา

(ตอนที่ 1)

ข้าพเจ้าหวังว่าเรื่องราวของข้าพเจ้าต่อไปนี้ จะทำให้เพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย มีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรมและหนทางที่พระพุทธองค์ได้ให้ไว้ ที่เป็นคำตอบและทางออกให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ทุกข์ทรมานวนเวียนกับการตามหาความสุขนั้น…ว่าสิ่งที่เราตามหานั้น แท้จริงมีอยู่ในใจของเราทุกคน…

ข้าพเจ้าสนใจการปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 19 ปี โดยมีแรงจูงใจเพราะต้องการหาความสงบให้กับจิตใจที่วุ่นวายและค้นหาตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการอะไรในชีวิต ด้วยความที่ข้าพเจ้าเป็นลูกสาว ท่ามกลางพี่น้องสี่คน และพ่อแม่มีความรักและห่วงใยในตัวข้าพเจ้ามาก ชีวิตของข้าพเจ้าจึงเสมือนถูกคุ้มกันไว้ด้วยเกราะแก้ว เพื่อไม่ให้ได้พบกับสิ่งที่ไม่ดีในชีวิต แต่ทว่าเกราะนี้อาจแน่นเกินไป ทำให้ร่างกายและความคิดข้าพเจ้าถูกปิดกั้นเอาไว้ ไม่ให้ตัดสินใจหรือทำอะไรได้โดยอิสระ ความต้องการในใจจริงๆกลับถูกเก็บเอาไว้ รู้เพียงว่าเราควรทำเพื่อความสุขของผู้อื่น แต่ไม่เคยทำเพื่อความสุขของตนเอง จนไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ตัวเราต้องการอะไร

โดยพื้นฐานที่ข้าพเจ้าสนใจศึกษาธรรมะอยู่แล้ว ธรรมจากการอ่านทำให้เกิดปัญญา พระธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เป็นความรู้เหนือโลก เหนือกาลเวลา เป็นความรู้ที่สูงยิ่งที่ไม่มีใครในโลกนี้เทียบเคียงได้ และลึกลงไปในจิตนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่จะพบได้เพียงจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งจะให้คำตอบกับข้าพเจ้าได้ว่าข้าพเจ้าคือใคร อีกทั้งต้องการแก้ไขนิสัยตัวเองและค้นพบกับความสุขสงบที่แท้จริงนี้ ข้าพเจ้าจึงเข้าปฏิบัติธรรมเนกขัมบารมี 7 วัน เป็นครั้งแรก ที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย (16 ปีผ่านมาแล้ว) ข้าพเจ้าได้เริ่มรู้จักการฝึกสติให้อยู่กับกาย รู้จักความสงบจากความวุ่นวายของโลกภายนอก ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง การปฏิบัติธรรมนำพาความสุขใจมาให้แบบนี้เอง และที่สำคัญ ข้าพเจ้าก็ได้พบสถานที่ที่พ่อแม่จะอนุญาตให้จากบ้านไปนาน ๆ ได้แล้ว ^ ^

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ฝึกปฏิบัติวิปัสสนาแนวพองยุบและเดินจงกรม กับพระวิปัสสนาจารย์หลายท่าน ที่ยุวพุทธิกสมาคมมาเรื่อยๆ ประมาณ 6-7 ครั้ง โดยเฉพาะกับพระมหาเหล็ก จันทสีโล แต่หลังจากนั้นไม่เคยกลับมาปฏิบัติต่อที่บ้าน หรือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะในขณะนั้นยังคิดเพียงว่า การมาปฏิบัติธรรมต้องมาที่คอร์สเท่านั้น เพราะปฏิบัติที่บ้านก็ไม่มีสมาธิ และที่สำคัญคือขี้เกียจ อย่างไรก็ตามแม้ขาดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยที่ไม่ได้ทิ้งขาดไปเลย เว้นช่วงบ้างทุกปี หรือสองปี ก็ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้กับความอดทนและการปล่อยวางขึ้น วางใจได้ง่ายขึ้นบ้าง

แต่สิ่งที่ค้นพบแต่ละครั้งจากการไปปฏิบัติธรรม แม้ทำได้ดีบ้างหรือบางครั้งไม่ดีเลย คือ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนาว่า วิปัสสนา ก็คือ “รู้” เท่านั้น และเปลี่ยนการวางใจในการปฏิบัติใหม่ว่า สิ่งที่เรามาฝึกนี้นั้นเป็นการสวนทางกับโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ วางใจเสียใหม่ “ไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติอะไร เพื่อให้ได้อะไร” มันไม่เหมือนกับ หนึ่ง บวกหนึ่ง ต้องเท่ากับสอง ทำแบบนี้แล้วต้องได้แบบนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับเข้าสู่โลกแห่งชีวิตจริง ๆ กิเลสก็ถาโถมเข้ามามากมาย กำลังสติและสมาธิอันน้อยนิดของข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทานกระแสไว้ได้ สงบสุขอยู่ได้เพียงอาทิตย์เดียว ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิม เหมือนก่อนไปปฏิบัติธรรม จนเพื่อนทักว่า นี่นะหรือไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว และดำเนินชีวิตต่อไปในทางโลกแบบงง ๆ กับตัวเองต่อไป ในแบบปกติของคนในวัยเดียวกัน คือ แสวงหาความสำเร็จในทางโลก ขวนขวายเรื่องทรัพย์ เรื่องงานและความก้าวหน้า หาความสุขในทางโลกที่หยิบยื่นให้ ทั้งการดูหนัง ฟังเพลง อาหารการกิน การแต่งตัว จนข้าพเจ้าละทิ้งการปฏิบัติธรรม และข้าพเจ้าเริ่มคิดเปลี่ยนแผน ไม่ไปปฏิบัติธรรมแล้ว ไปเที่ยวดีกว่า ใช้วันลาพักร้อนไปเที่ยวเหมือนคนอื่นบ้าง

แต่สุดท้าย ด้วยพื้นฐานในใจที่เรียกร้องความสงบสุข ความสุขทางโลกก็ได้เพียงแต่ช่วยให้เวลาหมดไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ความทุกข์ร้อนในใจจากความเป็นคนมักโกรธและคิดมากยังมีอยู่ไม่หายไป การปฏิบัติภาวนานั้นต่างหากจะช่วยรักษาใจให้ข้าพเจ้าได้อย่างแท้จริง และในระหว่างกำลังเลือกตัดสินใจว่าจะกลับไปปฏิบัติแบบแนวพองยุบเหมือนเดิม เพราะไม่รู้จักวิธีอื่น ข้าพเจ้าก็ได้รู้จักการปฏิบัติในอีกรูปแบบหนึ่งคือเตโชวิปัสสนา จากหนังสือรู้แล้วลุยของท่านอาจารย์โดยบังเอิญ ไม่น่าเชื่อเลยว่าหลังจากได้พบหนังสือเล่มนี้ ใน อีก 8 เดือน ต่อมาโลกทั้งโลกของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง..และดำเนินชีวิตในแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิต

กันยา

bottom of page