top of page

จิตที่ตั้งมั่นด้วยสติ และอุเบกขา ตอนที่ 1

ประสบการณ์ธรรมคุณมณฑล

ข้าพเจ้าชื่อ มณฑล อายุ 39 ปี ประกอบอาชีพเภสัชกร เป็นบุตรคนสุดท้องของครอบครัวชาวจีน เติบโตที่ต่างจังหวัด หลังจากจบการศึกษาก็ได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ พื้นฐานครอบครัว คุณพ่อทำอาชีพค้าขาย คุณแม่รับราชการครู มักทำบุญตามกาล​แต่ไม่ได้เข้าวัดเข้าวาอะไรเป็นการพิเศษ เป็นครอบครัวที่ยึดมั่นในความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ตามแบบฉบับคนจีนขนานแท้

สมัยเด็กจำได้เสมอว่า เมื่อเดินทางโดยรถประจำทาง คุณแม่มักให้ยกมือไหว้วัดต่าง ๆ ที่ปรากฏข้างทางอยู่เสมอ โดยคุณแม่จะเป็นคนพูดนำและขอพรพระให้ปกป้องคุ้มครองตลอด ด้วยการที่โรงเรียนอยู่ใกล้วัด จึงมักถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟภายในงานบุญอยู่เป็นประจำ จำได้ว่าช่วงหนึ่งต้องไปช่วยงานศพติด ๆ กันอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งภายหลัง ศพที่อยู่​ในศาลากลับกลายเป็นศพบิดามารดาหรือญาติของเพื่อนภายในชั้นเรียน ทำให้เกิดความเข้าใจในวงจรชีวิตและการพลัดพราก ข้าพเจ้ามีความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม นรกและสวรรค์ว่ามีจริง เมื่อเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษา อาจารย์วิชาพระพุทธศาสนาได้จัดการเรียนปริยัติธรรมในวันเสาร์อาทิตย์​โดยนิมนต์พระที่วัดมาสอน จนกระทั่งข้าพเจ้าได้จบนักธรรมเอก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการสอบตามเกณฑ์และได้ใบประกาศ​

ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็น​ชีวิตที่มีอิสระมากขึ้น เปลี่ยนกลุ่มเพื่อนฝูง ​เริ่มมีการชักชวนเที่ยวเตร่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ แต่โชคดีที่อาจมีบุญเก่าอยู่บ้างทำให้เป็นคนแพ้แอลกอฮอล์และแพ้ควันบุหรี่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังฝืนทำตามการชักชวนของเพื่อนอยู่​เนือง ๆ ​สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าสู่ทางธรรม คงหนีไม่พ้นเรื่องความผิดหวังจากความรัก​ครั้งแรก หลังจบการศึกษา​พี่ชายของข้าพเจ้าจึงได้แนะนำหนังสือของคุณดังตฤณ เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ เกี่ยวกับการเจริญสติแบบอานาปานสติเบื้องต้น ข้าพเจ้าได้อ่านและปฏิบัติตาม เห็นความแปลกภายในจิตตน ​เกิดความสงบนิ่งและละวางจากอารมณ์ลงได้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจศึกษาต่ออะไร มาวันหนึ่งมีเพื่อนเก่าสมัยเรียนประถมเดินทางหอบหนังสือธรรมะปึกใหญ่มาที่กรุงเทพฯ ด้วยความคิดถึงหลังจากไม่ได้เจอกันมามากกว่า 10 ปี เขาบอกว่า ปัจจุบันได้ฝึกปฏิบัติ​สายมโนมยิทธิตามแนวทางของพระราชพรหมยาน(วีระ ถาวโร) หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เลยอยากมาชวนให้ข้าพเจ้าได้ลองปฏิบัติ ขณะนั้นข้าพเจ้าก็เพิ่งได้งานทำ และพอมีเวลาว่างอยู่ในช่วงเสาร์อาทิตย์ จึงได้เข้ารับกรรมฐาน และฝึกปฏิบัติสายมโนมยิทธิ ประมาณ 4-5 ครั้ง


กระทั่งวันหนึ่ง​พี่ที่ทำงาน​​ได้นำ​หนังสือ​เล่มหนึ่งมาให้อ่าน หน้าปกชื่อ ฆราวาส​บรรลุ​ธรรม ​เล่ม 2​ และกำชับว่า​ “อ่านให้จบนะ” เมื่อข้าพเจ้า​อ่านไปได้ไม่กี่บท​ก็เกิดความสงสัยในแนวทางปฏิบัติ ​และเกิดจิตปฏิฆะอย่างแรงเป็นระลอก ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่านไปจิตก็ต้านไป​รู้สึก​แปลกใจตัวเอง​จึงนำหนังสือ​ไปคืนและบอกว่า​ไม่สามารถ​อ่านหนังสือ​เล่มนี้จนจบได้ พี่เขา​ก็แนะนำ​ว่า​ “ให้อ่านเหมือนเราอ่านหนังสือ​ทั่วไป ไม่ต้องคิดอะไร ​แต่ขอให้อ่านให้จบก็พอ” ผมก็​นำหนังสือ​กลับมาอ่านอีกครั้งวันละบทสองบทไปเรื่อยจนจบได้ในที่สุด จากนั้นก็ไปจาริกแสวงบุญที่ ​4​ สังเวช​นียสถาน​ที่ประเทศอินเดียกับบริษั​ท​ทัวร์​ทั่วไป ซึ่ง​เป็น​อีกหนึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้า​ตั้งใจไว้ตั้งแต่สมัยเด็ก เมื่อกลับมา​จากอินเดีย​สักพักพี่เขา​ก็ชวนเข้าคอร์ส​อานาปาน​สติ​ที่เตโช​วิปัสสนา​สถาน ​เนื่องด้วยข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบการพิสูจน์และหาเหตุผล จึงตัดสินใจเข้าคอร์สอานาปาน​สติ​และต่อด้วยคอร์สศิษย์​ใหม่เตโชวิปัสสนากรรมฐานเลยทันที คิดแต่เพียงว่าเมื่อสงสัยก็ต้องพิสูจน์

ในคอร์ส​อานาปาน​สติ​ ข้าพเจ้าสามารถดำรงเอกัคคตารมณ์ได้ทันที ปรากฏคล้าย​เป็นลูกแก้วพลังงานอยู่ที่ปลายจมูกบริเวณหน้าของข้าพเจ้า กายใจสงบนิ่ง ลมหายใจแผ่วเบา​ เสียงรอบข้างเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ​ข้าพเจ้าพร้อมแล้วกับการรับกรรมฐานเตโชวิปัสสนาในเช้าวันรุ่งขึ้น ภายหลังการรับกรรมฐานจากท่านอาจารย์ ตั้งใจทำตามคำท่านสอน ​เพ่ง​ตรึง​รู้​ชัด​ที่จุดสัมผัส ภาพแรกที่เห็น เป็นภาพผ้าม่านสีดำเลื่อนออกชั้นแล้วชั้นเล่า ต่อมาปรากฏดวงตาดวงใหญ่สีแดงฉานจ้องมาที่ข้าพเจ้าด้วยความดุร้าย แล้วค่อย ๆ ถอยห่างไป จนปรากฏเป็นหัวสัตว์เลื้อยคลานคล้ายจระเข้ขนาดมหึมา


ท่านอาจารย์ให้ข้าพเจ้าวางเฉยต่อภาพที่เห็น เพราะนั่นคือกิเลสที่แสดงถึงความหยาบกระด้างของจิต หลังจากนั้นท่านอาจารย์ให้ไปภาวนา​ต่อที่เรือนนอน ​ปัจจัตตังเกิดต่อมากมายทั้งตัวโยกโคลง มือแข็งเป็นปั้นหิน อ่อนนิ่มยืดได้เป็นสารพัดอาวุธ​มีสัณฐานมากมาย​

คืนหนึ่งในขณะภาวนา​ที่หอปฏิบัติ ข้าพเจ้าเกิดความคิดอุตริ​อยากท่องเที่ยวแดนกิเลส จึงอธิษฐานจิตขอให้พบเห็นดินแดนต่าง ๆ ของกิเลส หลังการอธิษฐานจบข้าพเจ้าได้เห็นภาพแดนกิเลสหลายแดน เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้รายงานสภาวธรรมต่อท่านอาจารย์ ท่านว่ากล่าวตักเตือนข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้ากราบขอขมาท่านอาจารย์ และพระอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เพราะข้าพเจ้าทำผิดคำสอน ไม่เชื่อฟังคำสอนของ​ครู​บาอาจารย์​จนอาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อจิต ​หากทำภายนอกสถานธรรมแห่งนี้จะเป็​นเช่นไร ข้าพเจ้าได้ไปขอขมาที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก้มกราบและร้องไห้น้ำตาไหลด้วยความสำนึกผิด ทราบทันทีว่าท่านอาจารย์เป็นห่วงศิษย์เพียงไร และอีกปัจจัตตังหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมจนทุกวันนี้คือ ภาพดินแดนนรกไฟลุกแดงฉาน พื้นฉาบสีแดงส้มเหมือนเหล็ก​หลอมกว้างใหญ่​ไปสุดสายตา​ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุ จากนั้นปรากฏภาพดวงวิญญาณหนึ่ง ชูมือทั้งสองขึ้นร้องทุรนทุรายด้วยความทรมาน ร้องอ้าปากจนกรามหลุด เนื้อไหลหลุดร่อนจากความร้อนของเพลิงนรก ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา ตะโกนสุดเสียงแต่ไม่มีใครได้ยิน ในจิตปรากฏคำพูดของดวงวิญญาณนี้ว่า “ท่านช่างมีวาสนา ได้เกิดมาบำเพ็ญเพียร ได้สร้างบุญบารมีของตน ท่านดูเราเถิด อยู่ที่นี่ด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ได้แต่ร้องขอส่วนบุญ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินหรือจดจำเราได้หรือไม่ ได้แต่รอคอยอย่างสิ้นหวัง ท่านจงพากเพียรสร้างบุญบารมีด้วยตัวท่านเองเถิด อย่าเป็นเช่นเราเลย”

ภายหลังจบคอร์ส วันแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับสภาพสังคมภายนอก คือ อาการ culture shock ไม่เคยคาดคิดว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์ย้ำเตือนภายในคอร์สจะปรากฏกับตัวข้าพเจ้า​ ทุกคำที่ท่านอาจารย์สอนเป็นสิ่งที่ถูกต้องชัดเจน ท่านรักศิษย์​และห่วงใยศิษย์​เสมอ ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์​ไปหาพี่ที่ทำงาน ร้องไห้และขอบคุณที่ทำให้ข้าพเจ้า​ได้พบธรรมแท้ของพระพุทธองค์ ช่างเป็นธรรมแท้ที่บริสุทธิ์ที่หาไม่ได้อีกแล้วในยุคกึ่งพุทธกาลนี้


หลังจบคอร์สเตโชวิปัสสนากรรมฐานคอร์สแรก ข้าพเจ้ามีจิตกตัญญูต่อคุณบิดามารดาอย่างสูงมาก จึงกลับบ้านไปแจ้งต่อบิดามารดาว่าจะขอบวชทดแทนคุณที่วัดใกล้บ้าน ซึ่งในการ​นี้ทำให้พี่ชายและลูกพี่ลูกน้องอีก 1 คน ได้ขอร่วมบวชกับข้าพเจ้าด้วย หลังการบวช ข้าพเจ้าจึงอยากทำความรู้จักสายธรรมให้มากขึ้น จึงชวนเพื่อนกัลยาณมิตรไปเป็น​จิตอาสาทำความสะอาด​เตรียมคอร์ส​เพื่อเป็นการทำความรู้จักกับศิษย์พี่ศิษย์น้องภายในสายธรรม และถือโอกาสนี้เข้าพบอาจารย์โสภิตเพื่อปรึกษาการวางจิตและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา

คอร์สเตโชวิปัสสนากรรมฐาน คอร์สที่ 2 ท่านอาจารย์เทศน์​สอนถึงการปล่อยวางจากโลกภายนอก ให้ถือว่าเป็นการให้คนภายในครอบครัว​ได้เตรียมตัวในวันที่ไม่มีเรา เขาจะได้สามารถรับผิดชอบหน้าที่แทนเราได้ ภายหลังการฟังธรรมบรรยายจบ จิตของข้าพเจ้าเกิดภาพภาระหน้าที่ของข้าพเจ้าที่แบกรับไว้มากมายค่อย ๆ ลอกหลุดออกจากตัวลอยขึ้นแปะเบื้องบนคล้ายโดมครอบข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าเกิดความโล่งเบาของจิตอย่างมาก เหมือนเป็นการเคลียร์​จิตก่อนการเข้าปฏิบัติธรรม​


เหตุการณ์ภายในคอร์สนี้ ข้าพเจ้าเกิดเวทนาที่หลังอย่างมาก เจ็บปวดเหมือนมีคนเอามีดมาทิ่มแทง หายใจเพียงเบา ๆ ก็เจ็บ ท่านอาจารย์สอนให้ละเวทนาให้กำหนดว่า “เวทนานี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา” ไม่ให้ค่ากับเวทนา ให้เพียงแค่รับรู้แล้ววางเฉย เพียรภาวนาจนเกิดสภาวะมหาสติ ไม่นานข้าพเจ้าก็ต้องถอนภาวนา​เนื่องจากเสียงระฆังดังขึ้นเตือนเพื่อออกไปเดินจงกรม​ ข้าพเจ้าเกิดมีจิตปฏิฆะที่รุนแรงไม่สามารถมองใครได้เลย​หงุดหงิด​ด่าทอไปทั่ว จึงได้รายงานสภาวธรรมนี้ต่อท่านอาจารย์ ท่านเมตตาแจ้งว่า เป็นการตีกลับของกิเลสมาร จากการได้ชำระกิเลสอย่างมากมาย ซึ่งการถอนภาวนา​เร็วเกินไปทำให้ยังชำระส่วนที่เหลือไม่หมด ท่านอาจารย์​ให้กลับไปเพียรภาวนาต่ออีก 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อชำระกิเลสที่ตกค้างให้หมดไป ภายหลังการออกจากคอร์สนี้ ข้าพเจ้าได้พบอาจารย์นธนาได้ชักชวนให้ไปพบหลวงพ่อสัญชัย​จิตตภโลที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์อีกด้วย


การเห็นภาพสภาวธรรม​ของข้าพเจ้านั้นอาจถูก​มองเป็นเรื่องที่น่าสนุกสนานของใครหลายคน แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้วมันกลับเริ่มมีปัญหา เพราะในแต่ละภาพนั้นไม่เคยซ้ำกัน ไม่สามารถกำหนดเวลาว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ยากต่อการวางอุเบกขา ​ทำให้ข้าพเจ้าต้องการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงได้ตัดสินใจชวนกัลยาณมิตรไปพบหลวงพ่อสัญชัยที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ จังหวัดสุรินทร์ หลวงพ่อสอนให้จิตอยู่บ้าน ให้จิตมีบ้านอยู่ รู้ชัด รู้ทั่ว รู้เฉย ให้จิตเกิดสัมมาสติ​ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ให้จิตเดินสายกลางเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ​หลวงพ่อมักถามว่า “จิตมีบ้านอยู่แล้วหรือยัง” “เฉยได้ไหม” หลวงพ่อสอนว่า สติคือการระลึกรู้ หรือรู้สึกที่จุดสัมผัส เมื่อระลึกรู้ รู้สึกอยู่​เนือง ๆ อย่างต่อเนื่องเรียกว่าเป็นสมาธิ ​เมื่อเกิดสมาธิก็จะเห็นตาม​ความเป็​นจริง คือความสงบนิ่งเฉยของจิตที่อยู่​กับ​ปัจจุบัน​ ขณะนั้นเรียกว่าเกิดปัญญา ​การมาในครั้งนี้ของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าสามารถนั่งภาวนาได้ 2 ชั่วโมงต่อเนื่อง ด้วยจิตที่เป็นกลาง​ไม่เกาะเกี่ยวสภาวธรรมรู้ชัด มีอุเบกขามากขึ้น​​

bottom of page