ประสบการณ์ธรรมคุณมณฑล
การภาวนาในคอร์สที่ 3 คอร์สนี้ เป็นคอร์สแรกที่ข้าพเจ้ามีความเป็นห่วงใยในธาตุขันธ์ของท่านอาจารย์ และพยายามตั้งใจปฏิบัติอย่างมาก ทำหน้าที่ของศิษย์ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการลดภาระที่อาจจะส่งผลต่อธาตุขันธ์ของท่านอาจารย์
ในคอร์สนี้ข้าพเจ้าเกิดความซาบซึ้งต่อหลายสิ่ง ทั้งความเสียสละของธรรมบริกร อาจเนื่องด้วยก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าได้มาเป็นธรรมบริกร จึงทราบดีว่า ภาระหน้าที่ของการเป็นธรรมบริกรนั้นเหน็ดเหนื่อยเพียงใด และมีความซาบซึ้งอย่างมากต่อพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดา
ในวันที่ท่านอาจารย์มาสอนวันแรกในช่วงเช้าของการภาวนา ขณะที่ข้าพเจ้ายืนที่ระเบียงบนหอปฏิบัติ ข้าพเจ้าได้สำนึกถึงโอกาสที่ท่านอาจารย์พูดเสมอว่า มนุษย์มักมีความประมาทเสมอ ไม่เคยให้ความสำคัญกับโอกาสที่อยู่ตรงหน้า เมื่อหมดโอกาสก็มักเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญถึง โอกาสที่หมดไป และได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดาที่ทรงเสียสละ เพื่อเหล่าเวไนยสัตว์ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทำให้ยืนน้ำตาไหลอยู่เช่นนั้น
เมื่อภาวนาจนกระทั่งเกิดเป็นมหาสติ ทั่วกายรัดตึง กายเบา จิตเบา จุดสัมผัสรัดแน่นเป็นก้อนแข็งมากขึ้น ทันใดนั้น จุดสัมผัสได้แตกออก เห็นเป็นรัตนะสีแดงสว่างเป็นประกายพวยพุ่งออกมาข้าพเจ้าวางอุเบกขากลับมาระลึกรู้ที่จุดสัมผัสจากนั้นรัตนะแดงแตกออกปรากฏคำว่า “จิตพุทธะ” เกิดปีติน้ำตาไหลพรั่งพรูไม่สามารถหยุดยั้งได้จากนั้นเห็นเป็นดอกบัวพุ่งออกจากรอยแตกของ รัตนะสีแดง จากดอกตูมเป็นบานหลายดอก เลื้อยสูง สอดประสานขึ้นฟ้า ดอกต่อดอก ในจิตข้าพเจ้าเห็นตัวกิเลสต่างพากันแตกตื่น กระโดดปีนตามก้านดอกบัว เหล่าเทวดาต่างเข้าช่วยต่อสู้ ทันใดนั้นปรากฏป้าย ที่จุดสูงสุดของยอดมีตัวอักษรเขียนชัดเจน เจ้าตัวกิเลสไม่ยอมแพ้ เหวี่ยงเชือกขึ้นพันป้าย กระชากร่วงหล่นลงคาตา ข้าพเจ้าได้รายงานสภาวธรรมนี้ต่อท่านอาจารย์ ท่านกล่าวว่า “ไม่เสถียรค่ะ” แล้วให้ไปภาวนาต่อที่เรือนนอน ข้าพเจ้ากลับไปด้วยความเสียดายและคาดหวัง คิดวนตลอดทางเดินกลับเรือน เมื่อภาวนาก็ไม่สามารถรวมเป็นสมาธิได้ด้วยความยึดในสภาวธรรม และความอยากได้สภาวธรรมนี้ช่างติดตามหลอกหลอนอย่างมาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของหลวงพ่อสัญชัย “มันเป็นธรรมดาอย่างนี้ อย่างนี้นี่เอง” จิตของข้าพเจ้าน้อมอ่อนลงทันที ด้วยเข้าใจความหมายในธรรม มนุษย์นี้ช่างโง่เขลา มักถูกหลอกให้ยึดติดทั้ง ๆ ที่ทุกสิ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของมันอยู่เดิมแล้ว มักมองโลกกลับหัวแล้วเอามาเป็นตัวตนตามความคิดเรา
จากนั้น ปรากฏภาพพระเถระกวักมือเรียกให้มานั่งภาวนาใกล้ ๆ ข้าพเจ้าคลานเข้าไปก็ปรากฏเป็นคณะพระอริยสงฆ์ที่ข้าพเจ้าเคยได้น้อมจิตกราบไหว้บูชาเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ทั้งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พระอาจารย์ใหญ่ หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จิตของข้าพเจ้ารวมลงสงบนิ่งเบา จากนั้นเกิดความปีติน้ำตาไหล เพราะไม่เคยคิดเลยว่า พ่อแม่ครูบา อาจารย์จะมาให้กำลังใจจริง ๆ ท่านมาช่วยปกป้องคุ้มภัย ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับความรัก ความเมตตาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ถึงเพียงนี้ ในคอร์สนี้ท่านอาจารย์ได้สอนเรื่อง โพชฌงค์ 7, การมีสติสัมปชัญญะ และการมีอุเบกขาอย่างยิ่ง หลังจากจบคอร์สข้าพเจ้ามีคำถามมากมาย สภาวะความไม่เสถียรต้องปรับปรุงแก้ไขเช่นไร จิตตั้งมั่นจะต้องตั้งมั่นเช่นไร อะไรคือสิ่งจำเป็นในขณะภาวนาเริ่มคิดวนเกิดความท้อแท้ท้อถอยไม่อยากภาวนา จึงรีบตัดสินใจสมัครเข้าคอร์สที่ 4 สภาวธรรมในคอร์สที่ 4 ถือเป็นการชำระจิต พบกิเลสมากมาย มานะ อัตตา ริษยา ปฏิฆะ นันทิและการติดดี จนกระทั่งในวันสุดท้ายของการภาวนา ข้าพเจ้าได้พบจิตเดิมของข้าพเจ้าที่เศร้าสร้อย โดดเดี่ยว เพราะถูกกักขังมาอย่างยาวนาน ไม่สามารถออกมาสื่อสารใด ๆได้เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลส วันนี้ข้าพเจ้าได้พบแล้ว แต่เข้าใจแล้วว่าสิ่งสำคัญคือ การต้องให้อภัยตัวเอง ให้อภัยต่อการกระทำที่ผ่านมา แล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยความไม่ประมาท อย่าตกเป็นทาสถูกลวงด้วยเล่ห์กลของกิเลสมารอีกเลย
หลังจากจบคอร์สที่ 4 ท่านอาจารย์เน้นย้ำเสมอให้มีสติสัมปชัญญะ “ท่านจะข้ามผ่านวัฏทุกข์นี้โดยขาดสติและสัมปชัญญะไม่ได้เลย” ข้าพเจ้าจึงเริ่มการฝึกฝนสติสัมปชัญญะด้วยการกำหนดรู้และสั่งจิตรู้ทุกอิริยาบถ เช่น กำหนดเดิน กำหนดรู้ลมหายใจ กำหนดการจับสิ่งของ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตลอดเวลาทั้งวัน จนพบว่าสติและสัมปชัญญะคือศัตรูของความคิดหรือความฟุ้งซ่าน เช่น เมื่อเรามีความคิดฟุ้งซ่าน คิดสิ่งต่าง ๆ อยู่ พอเมื่อกำหนดรู้ รู้สึกถึงเท้าที่ก้าวเดิน ก็จะเห็นการดับไปของความคิดทันที เห็นการเกิด (ความรู้สึกที่เท้า) การดับ (ความคิด) นี่คือการปิดอายตนะทางมโนวิญญาณ เกิดความสงบนิ่งของจิตใจเพราะตัดสิ่งที่มากระทบใจ ทำให้ไม่เกิดการปรุงแต่ง ไม่เกิดเวทนา (สุข/ทุกข์) ไม่เกิดตัณหา (อยาก/ไม่อยาก) ไม่เกิดอุปาทาน (ยึดมั่นถือมั่น) และไม่เกิดอารมณ์ ซึ่งเป็นอาหารของกิเลส “มีสติจึงตัดกิเลสได้” นี่เป็นการตัดตั้งแต่ต้นสายเลยทีเดียว นี้เรียกว่ากำลังเดินบนอริยมรรคและเห็นอิทธิบาท 4 โดยแท้
กำหนดวางอุเบกขา ด้วยการโยนิโสมนสิการ พิจารณาทุกอย่างให้รอบคอบ ให้เห็นเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่ไม่ให้ยึดติดรับมาเป็นอารมณ์ทั้งชอบใจไม่ชอบใจ ไม่ผลักไส ไม่รับเอา ทำตัวให้เป็นกลาง ๆ อย่างถูกต้อง พยายามเป็นฝ่ายเฝ้าดูไม่เข้าไปคลุกกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หากมีสิ่งใดที่ละวางได้ยาก จะต้องใช้พลังแห่งขันติเข้ามาช่วย ขันติ คือความอดทนต่อสิ่งที่ทนได้ยาก จะเห็นได้ว่า ทั้ง 3 สิ่งต้องนำมาใช้ประกอบกันเพื่อปิดอายตนะ และเกิดการวางของอารมณ์ปรุงแต่ง จำไว้เสมอว่า อารมณ์คืออาหารของกิเลส หากไม่มีอาหาร กิเลสก็ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ นี่คือสิ่งที่พิจารณาระหว่างวันของข้าพเจ้า เมื่อทั้งสามสิ่งนี้ถูกนำมาใช้ในขณะภาวนา ข้าพเจ้าก็สามารถดำรงเอกัคคตาขณะภาวนาได้นานขึ้นจาก 5 นาที เพิ่มเป็น 10 นาที เป็น 30 นาที
ภาวนาคืนสุดท้ายก่อนมาเข้าคอร์สที่ 5 ข้าพเจ้าได้อธิษฐานจิตต่อหน้าองค์พระในห้องพระว่า “ข้าแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยศิษย์ทราบดีแล้วว่า ปัจจัตตังทั้งหมดในตนล้วนเกิดได้จากบารมีแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงขอน้อมอุทิศผลบุญที่เกิดขึ้นทั้งหมดในคอร์สนี้แด่ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล วิปัสสนาจารย์อันประเสริฐของข้าพเจ้า หากแม้นข้าพเจ้าไม่ได้พานพบกับท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าคงไม่อาจเห็นหนทางอันบริสุทธิ์แห่งพระพุทธองค์ ท่านอาจารย์ได้ทำทุกอย่างเพื่อเหล่าศิษย์มามากแล้ว เหน็ดเหนื่อยทั้งแรงกายแรงใจท่านเอาชีวิตเข้าแลก ข้าพเจ้ามิอาจรับผลบุญเหล่านี้เป็นของตนถ่ายเดียว ข้าพเจ้าขอเป็นผู้หนึ่งที่มอบคืนผลบุญนี้เพื่อเทิดทูนบูชาพระคุณและตอบแทนพระคุณท่านอาจารย์ด้วยจิตกตัญญู เพื่อให้ท่านได้ชื่นใจ ให้ท่านได้มีรอยยิ้มบ้างก็ยังดี ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ของศิษย์อย่างสุดกำลังความสามารถ ไม่ว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นเช่นไรก็ตาม”
ในคอร์สนี้ ท่านอาจารย์ได้นิมนต์พระคุณเจ้าฮวด มาเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยสอน ภายหลังจากการรับกรรมฐาน พระอาจารย์ฮวดได้เทศนาให้แก่เหล่าศิษย์ให้รู้หน้าที่ หน้าที่อยู่เหนืออารมณ์และเหตุผล ตลอดจนเรื่องของการปล่อยวาง ในช่วงตอนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า “สิ่งที่แล้ว ก็ให้แล้วกันไป อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ให้ปล่อยวาง” เป็นการพูดจากจิตสู่จิต สะกิดปมในใจของข้าพเจ้า เกิดการละวาง น้ำตาไหลขึ้นมาทันที
ในวันนี้ ข้าพเจ้าภาวนาด้วยความแน่วแน่ สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อสั่งจิตให้รู้ชัดคือ รู้ชัดจุดสัมผัส จากนั้นสั่งจิตให้รู้ทั่ว ก็รู้สึกทั่วทั้งกายเกิดเป็นดวงแก้วดวงใหญ่ครอบร่างกายอีกชั้นหนึ่ง เมื่อดวงจิตตั้งมั่น เห็นสภาวะความฟุ้งซ่านปรากฏเป็นแบบการพุ่งเข้ามาของความคิด พอจะเข้าดวงจิตกลับเคลื่อนที่ช้าลงจนเป็นภาพสโลโมชั่น เห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเป็นฝุ่นผง โดยข้าพเจ้ามีอาการอึดอัดแน่นบริเวณอกอยู่ตลอดเวลาภาวนา
วันที่ 2 ในช่วงบ่าย ข้าพเจ้าตั้งใจนั่งภาวนา 2 ชั่วโมงครึ่งที่เรือนนอน ท้ายชั่วโมงเกิดจิตลอยพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ทะลุผ่านกลุ่มหมอกควัน รู้สึกจิตมีความอิสระหลุดพ้นจากสิ่งพันธนาการ ในวันที่ 3 ขณะพักกลางวันทานข้าว ข้าพเจ้าได้มองเห็นหลายคนกำลังชื่นชมยืนดูความสวยงามของดอกชงโคที่เรือนอาหาร แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า เจ้าดอกชงโคจะรู้หรือไม่ว่ามีคนให้ความชื่นชมในสีสันและความสวยสดงดงามของเจ้า เจ้าได้แต่ทำหน้าที่ของตนเท่านั้น เมื่อน้ำ ปุ๋ย ส่งมาอย่างสมบูรณ์ดีแล้ว ดอกชงโคเจ้าก็เบ่งบานตามหน้าที่ หาได้มีความคิดคาดหวังว่าจะมีคนมาสนใจหรืออวดตัวว่ามีกลิ่นและสีที่คนอื่นอยากชื่นชมแต่อย่างใด จิตรู้บอกต่อทันทีว่า “เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมดีแล้วก็ย่อมแสดงผล ไม่ต้องคาดหวังทะยานอยากใด ๆ” . ในการภาวนาวันนี้สามารถดึงจิตให้รู้ชัดอยู่ที่จุดสัมผัสได้นานพอสมควร นั่งภาวนา 2 ชั่วโมงต่อเนื่อง สภาวธรรมที่เห็นเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ค่อย ๆ บานออก จิตละวางอุเบกขาด้วยความรู้สึกที่เป็นกลาง ไม่มีความอยาก ไม่รับเอาด้วยความพอใจ กลับมาเพ่ง ตรึง รู้ ที่จุดสัมผัสอย่างต่อเนื่องต่อไป จากนั้นข้าพเจ้าเห็นสภาวะดอกบัวแก้วที่มีจิตพิสุทธิ์ สว่างสุกใสอยู่ตรงกลางดอก ข้าพเจ้ากลับมาเพ่ง ตรึง รู้ ที่จุดสัมผัสอย่างต่อเนื่องต่อไป ใช้กำลังอุเบกขาละวางอย่างเป็นกลางปรากฏคำว่า “ใสกระจ่างสว่างเบา” ได้แต่รับรู้แล้ววางเฉย ท่านอาจารย์แจ้งว่าเป็นสภาวธรรมที่ดี ข้าพเจ้าได้กลับมาภาวนาที่เรือนนอน เมื่อเริ่มภาวนาไปสักครู่จิตรวมลงดำรงสติตั้งมั่นได้ เกิดเป็นก้อนพลังงานไหลม้วนเข้าปาก ผ่านลำคอลงไปในช่องท้อง ภาพแรกที่เห็นเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาข้าพเจ้าด้วยพละกำลังความดุร้าย เป็นสภาวธรรมครั้งแรกที่เป็นภาพ เหมือนการพุ่งโจมตีเข้าใส่ ข้าพเจ้าวางภาพนั้นด้วยอุเบกขา ปรากฏภาพสัตว์เลื้อยคลาน แมลงนานาชนิด เดินไหลออกมาจากจมูก ตาและปากเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าระลึกรู้ที่จุดสัมผัส วางอุเบกขา ไม่มีอารมณ์เกาะเกี่ยวสภาวธรรม จนเกิดกำลังของมหาสติ จุดสัมผัสรัดแน่นตึงเป็นก้อน ร่างกายรัดแน่น กายเบา จิตเบา เกิดการพุ่งทะยานของจิตเหมือนขึ้นรถไฟเหาะ เหมือนถูกผลักดันขึ้นด้วยแรงลม ลอยพ้นเหนือเมฆและค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความเบา ล่องลอยเหมือนดั่งขนนกที่ลอยในอากาศ แต่ไม่ร่วงหล่นลง ระลึกรู้ว่าทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่ง แม้กระทั่งเวลาข้าพเจ้าปล่อยวาง และกลับมาระลึกรู้ที่จุดสัมผัส มือทั้งสองของข้าพเจ้าใหญ่โตขึ้น แข็งขึ้นเหมือนดังเป็นก้อนหิน
ข้าพเจ้ารับรู้ได้ว่า พลังเตโชธาตุกำลังชำระความหยาบกระด้างของจิต จึงค่อย ๆ ดำรงสติสัมปชัญญะระลึกรู้ที่จุดสัมผัสด้วยอุเบกขา มือของข้าพเจ้าค่อย ๆ ยุบลง สักครู่หนึ่งสติที่อยู่ที่จุดสัมผัสก็พวยพุ่งออกมาเป็นอุปกรณ์คล้ายจอบที่มีปลายหยัก สับลงอย่างแรงที่กลางอกของข้าพเจ้า ถึง 2 เล่ม กระชากลากกิเลสออกมาเป็นยวง แต่ไม่สามารถดึงให้ขาดออกจากอกได้ ถึง ณ จุดนี้ ข้าพเจ้าคงถอยไม่ได้เสียแล้ว ข้าพเจ้ากลับระลึกรู้ที่จุดสัมผัสอย่างต่อเนื่องปรากฏภาพของสติกลายเป็นมีดหลายเล่มพุ่งเข้าฟันรอยฉีกนั้นให้ขาดออก รากถูกกระชากขาดออกมากองต่อหน้า ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่ใจติดตามว่ารากนั้นจะเป็นเช่นไร เพียรภาวนาต่อเนื่องด้วย “ขันติอย่างยิ่ง” ให้ยันไว้ที่จุดสัมผัส รักษาสติ สมาธิ อุเบกขาให้ต่อเนื่อง กำหนดจิตให้ “จิตนิ่งตั้งมั่นไม่หวั่นไหว”
หลังจากถอนภาวนา ข้าพเจ้ารู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก สูดหายใจได้เต็มปอด รับรู้ถึงกลิ่นธรรมชาติ จิตเบิกบานและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เมื่อรายงานสภาวธรรมนี้ต่อท่านอาจารย์ท่านอาจารย์แจ้งว่า นี่คือผลของกำลังสติและกำลังอุเบกขาอย่างถูกต้อง จากนั้นท่านอาจารย์ได้แสดงความยินดีที่จิตของข้าพเจ้าก้าวหน้า ข้าพเจ้าก้มลงกราบด้วยน้ำตา ในจิตไม่ได้มีความยินดีต่อความก้าวหน้าในทางธรรมแต่อย่างใด แต่น้ำตาที่ไหลออกมาเกิดจากความปีติที่ สามารถทำหน้าที่ของศิษย์ได้สำเร็จ ศิษย์จะเป็นศิษย์กตัญญูตอบแทนพระคุณท่านอาจารย์จากนั้นข้าพเจ้าเดินไปก้มกราบที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อแจ้งกับพระพุทธองค์ว่า ในการมาครั้งนี้ข้าพเจ้าได้กระทำสำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าสามารถน้อมบุญแด่ท่านอาจารย์ได้อย่างภาคภูมิ สมกับความเป็นศิษย์ที่ได้ตั้งจิตปรารถนาไว้ก่อนการมาเข้าคอร์สครั้งนี้แล้ว ในวันสุดท้ายของการมอบพวงมาลัยเป็นอาจาริยบูชา ข้าพเจ้าได้ก้มกราบและกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศผลบุญที่เกิดขึ้นจากการเจริญเตโชวิปัสสนากรรมฐานในคอร์สนี้ แด่ท่านอาจารย์ผู้เป็นดั่งเนื้อนาบุญอันประเสริฐคอยสอนสั่งศิษย์ และชี้ทางหลุดพ้นให้ศิษย์ได้พบหนทางสว่างแห่งองค์พระบรมศาสดา ศิษย์ไม่มีสิ่งมีค่าอันใดจะมอบให้นอกจากผลบุญนี้ ขอท่านอาจารย์ ได้โปรดประทานโอกาสให้ศิษย์ได้น้อมอุทิศผลบุญนี้เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณด้วยจิตกตัญญูด้วยเทอญ”
ขอน้อมกราบพระพุทธองค์ ด้วยความเคารพเหนือเศียรเกล้า ขอน้อมกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกภพทุกสมัย หลวงพ่อสัญชัย จิตตภโล และท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ข้าพเจ้าขอน้อมจิตถวายบุญกุศลที่เกิดจากการแบ่งปันธรรมทานนี้ แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกพระองค์และทุกท่าน ตลอดจนท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล