ประสบการณ์ภาวนาแม่ชีเยาวลักษณ์
ข้าพเจ้าแม่ชี เยาวลักษณ์ จะขอเล่าถึงประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้า บ้านเกิดอยู่ที่ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร เกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน พ่อแม่มีอาชีพทำนา เป็นบุตรของนายสี และนางสมหวัง มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เสียชีวิต 1 คน ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่ 4 ก่อนที่จะบวชเป็นแม่ชี ข้าพเจ้ารับราชการเป็นพยาบาลวิชาชีพ ทำงานอยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี 13 ปี และย้ายกลับภูมิลำเนาที่ จังหวัดสกลนคร ทำงานได้ 7 เดือน จึงลาออกจากราชการมาบวชที่ลานหินป่าโมกข์ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2562
ครอบครัวเป็นสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่พี่ ๆ น้อง ๆ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เกเร ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ตั้งแต่จำความได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยด่าว่าลูก ๆ ไม่เคยทุบตีลูก ๆ เลย มีแต่อบรมด้วยคำที่สุภาพ และมีเหตุผลเสมอมา ครั้งหนึ่ง คุณพ่อเคยเล่าให้ลูก ๆ ฟังว่า ตอนที่พี่ชายคนโตยังเป็นเด็ก พ่อเคยใช้ไม้เรียวตีพี่ชาย 1 ครั้ง หลังจากนั้นพี่ชายไม่กล้าเข้าใกล้คุณพ่อเลย ทำให้คุณพ่อได้พูดกับตัวเองว่า นับจากนี้ต่อไป จะไม่ตีลูก ๆ อีก ส่วนพี่ ๆ น้อง ๆ ก็รักใคร่กลมเกลียวกันทุกคน ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเลย
สมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา แทบทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน คุณย่าจะเตรียมอาหารให้ข้าพเจ้าไปทำบุญที่วัด ก่อนไปโรงเรียนเสมอ นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณย่าได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามไว้ในใจ จึงทำให้ข้าพเจ้าชอบการทำบุญและการปฏิบัติธรรม ด้วยอาชีพการเป็นพยาบาล ที่ต้องดูแลและให้การพยาบาล งานในส่วนที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบคือ ดูแลผู้ป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาล 5 ปีแรกของการทำงานจะดูแลผู้ป่วย HIV และอีก 8 ปี ดูแลผู้ป่วยแยกโรคและผู้ป่วยหนัก (ICU) อาชีพนี้ทำให้ได้เห็นถึงสัจธรรม การเกิด การแก่ การเจ็บและการตาย ภายในวันเดียว มีบางคนเดินเข้ามา และเดินกลับออกไป บางคนนั่งเข้ามา และเดินกลับออกไป บางคนนอนเข้ามา และเดินกลับออกไป บางคนนอนเข้ามา และนอนกลับออกไป หรือแม้แต่บางคน เดินเข้ามา นั่งเข้ามา นอนเข้ามา แต่กลับออกไป ด้วยร่างที่ไร้วิญญาณ ก็มีให้เห็นอยู่ทุกวัน
14 ปี ที่ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับวัฏจักรของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ในหนึ่งวันต้องทำงาน 16 ชั่วโมงจนเป็นเรื่องปกติ แม้ในยามวิกฤต 24 ชั่วโมง ต่อวันก็ได้ทำ เมื่อมีเวลาพักผ่อนการทำบุญและปฏิบัติธรรมจึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งเกิดความสับสนในใจ และมีคำถามกับตัวเองว่า “ชีวิตเรามันมีแค่นี้เองเหรอ มันมีอะไรที่ดีกว่านี้มั้ย เราจะต้องทำยังไงให้ธรรมเรามีความก้าวหน้ากว่านี้”
การได้พบสายธรรม เตโชวิปัสสนากรรมฐาน
ในช่วงที่เกิดความสับสนในใจอยู่ บังเอิญได้ดูรายการโทรทัศน์ชื่อ “มูไนท์” ที่แขกรับเชิญ คือคุณตา สุรางคณา ได้เล่าเรื่องชีวิตของตัวเองขณะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จากการเจ็บป่วยในครั้งนั้น ทำให้เขาเปลี่ยนจากดาราที่ไม่ดี มาเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาได้เล่าว่า เขาได้อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปว่า “ขอให้เจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่แท้จริง ที่จะสั่งสอนธรรมด้วยเทอญ” เมื่อมีโอกาส ข้าพเจ้าไม่รอช้า จุดธูปต่อหน้าพระพุทธรูปที่ห้องพัก แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า “หากข้าพเจ้าพอมีบุญวาสนาอยู่บ้าง ขอให้ข้าพเจ้าได้พบเจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่แท้จริง ที่จะสั่งสอนธรรมแท้ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ” หลังจากนั้นไม่นานหน้าเฟซบุ๊กของข้าพเจ้าได้มีเพจที่ไม่รู้จัก ได้พบหนังสือ ฆราวาสบรรลุธรรม จึงได้ไปหาซื้อมาอ่าน และอ่านจบภายใน 2 วัน มีเนื้อหาตอนหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “เรายังอยู่เหมือนผู้มาเยือนโลก ทำความดีทุกอย่างฝากไว้ ถึงเวลาเราจะจากไป เรามานำทางคนของเราไปด้วย เขาติดหลงทางอยู่ในนี้มานานแล้ว เขาถูกหลอกจนหาทางกลับไม่เจอ ได้เวลากลับบ้านซะที”
ขณะอ่านข้อความนี้ ข้าพเจ้านั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น พร่ำพูดออกมาเหมือนคนบ้า ท่านอาจารย์เอาศิษย์กลับไปด้วย ๆ การเข้าคอร์สครั้งแรกเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2560 ซึ่งในปีเดียวกันนี้ ท่านอาจารย์ได้หมดอายุขัย มีศิษย์ชายที่บวชเป็นพระเพื่อต่ออายุขัยให้ท่านอาจารย์ จึงเกิดคำถามในใจข้าพเจ้าว่า ศิษย์หญิงจะทำอะไรได้บ้างไหมหนอ บังเอิญได้รู้มาว่า ข้าราชการหญิงสามารถลาบวชชีได้ 1-3 เดือน (หากหน่วยงานอนุญาต) ข้าพเจ้าจึงดำเนินเรื่องขอลาบวชจากต้นสังกัดและได้บวชชีเพื่อน้อมถวายบุญแด่ท่านอาจารย์ ที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ถึง 31 มกราคม 2561 ซึ่งในวันก่อนบวช ข้าพเจ้าได้พูดกับคุณพ่อคุณแม่ พี่ ๆ น้อง ๆ ว่า “ในระหว่างที่ข้าพเจ้า บวช 3 เดือนนี้ หากน้องชายคนเล็กได้บรรจุเป็นข้าราชการอีกคน ข้าพเจ้าจะขอบวชไม่สึก ข้าพเจ้าขอยกตำแหน่ง ข้าราชการของตัวเองให้น้องชาย”
ในระหว่างที่บวชอยู่ปรากฏว่า น้องชายคนเล็กได้รับบรรจุข้าราชการจริง ๆ ข้าพเจ้าจึงเบาใจในเรื่องสิทธิ์การรักษาพยาบาลพ่อแม่ในยามที่ท่านเจ็บป่วยแล้ว จึงได้บอกกับที่บ้านว่า จะไม่สึกตามคำพูดที่ได้พูดไว้ แต่คุณแม่ได้ขอร้องไว้ว่า ขอให้สึกออกมาก่อน ขอเวลา 3 ปี ค่อยบวชใหม่ ข้าพเจ้าจึงต้องสึกออกไป เพื่อทำงานและทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และเพื่อปรับสภาพจิตใจของคุณพ่อและคุณแม่เสียก่อน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ ๆ น้อง ๆ ถึงความปรารถนาเดิมที่ตั้งไว้ นั่นคือการละทุกอย่างทางโลกเพื่อออกบวช บอกถึงความต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ข้าพเจ้าขออนุญาตท่านเดินตามรอยธรรมของพระพุทธองค์ อยากจะอยู่เหนือความสุข ความทุกข์ทั้งปวง ทางโลกลูกก็ได้ตอบแทนบุญคุณท่านในระดับหนึ่งแล้ว พี่น้องก็ตอบแทนบุญคุณพอสมควรแล้ว บัดนี้ลูกขอทำตามความต้องการของตัวเองบ้าง ครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ลูกขอตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ในทางธรรมบ้าง พี่ชายคนโตก็จากเราไปแล้วแบบไม่มีลมหายใจ ถึงแม้ลูกจะจากไปอีกคนก็เป็นการจากที่มีลมหายใจอยู่นะ คิดถึงก็ไปหาลูกได้ ไปปฏิบัติธรรมกับลูกได้ ห่วงที่ลูกมี ก็คือห่วงพ่อห่วงแม่เท่านั้น แต่ก็ขอฝากให้พี่ ๆ น้อง ๆ ดูแลด้วย การเงินได้เตรียมไว้ให้พอที่จะอยู่ได้แบบชาวบ้านชนบท อย่างไม่เดือดร้อน ขอให้พี่ ๆ น้อง ๆ เป็นแรงก็พอ
ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้สนับสนุนในการบวช แต่ท่านก็ไม่ได้ขัดขวางใด ๆ ท่านยังเคารพในการตัดสินใจของลูก ๆ เสมอมา เมื่อท่านเอ่ยปากอนุญาตแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ดำเนินการเรื่องลาออกจากราชการ และบวชอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2562 ที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ โดยใช้เวลาในทางโลกอีกเพียงแค่ 1 ปี 3 เดือนเท่านั้น หลังจากบวชชีในครั้งแรก
นอกจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเป็นหน้าที่หลักของนักบวช ข้าพเจ้ายังได้มีส่วนในการช่วยกิจการงานที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อสัญชัย จิตตภโลและ คุณแม่ชีดวงมณี คุณแม่ชีอรุณอย่างเต็มกำลังความสามารถ เฉกเช่นเดียวกับพระคุณเจ้าและแม่ชีทุกรูป หลวงพ่อและคุณแม่ชีทั้งสองได้เมตตาอบรมสั่งสอนธรรม คอย แคะ แงะ แซะ ให้ข้าพเจ้าเรื่อยมา จากที่คอยแต่วิ่งตามความสุข พยายามวิ่งหนีความทุกข์ ก็ได้รู้จักและเข้าใจความสุข ความทุกข์ และรู้จักการปล่อยวางมากขึ้นตามกำลังของสติปัญญา และการที่ได้เห็นวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อ พระคุณเจ้าทุกรูป และคุณแม่ชีทั้ง 2 ที่เป็นแบบอย่างของสมณะที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามเรื่อยมา
การพบความก้าวหน้าในธรรมเบื้องต้น
ในคอร์สวันที่ 18 – 25 ตุลาคม 2563 ที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ เป็นคอร์สที่ศิษย์ภาคอีสานได้มีโอกาสต้อนรับท่านอาจารย์ ที่มาเยี่ยมเยือน ในการจัดเตรียมการต้อนรับและด้วยสภาวธรรมต่าง ๆ ที่มากระทบจิตในช่วงก่อนเข้าคอร์ส ข้าพเจ้ามีแต่ความโกรธ ความแค้น ความเกลียด ความเสียใจ ความน้อยใจ จิตที่ติดดี 4 วันแรกของการปฏิบัติ ก่อนที่ท่านอาจารย์จะเดินทางมาถึง การภาวนาของข้าพเจ้า มีแต่จิตใจที่ร้อนรุ่ม สมองมีแต่เรื่องให้คิดวุ่นวาย ในความวุ่นวายนั้นข้าพเจ้ากลับมีสติที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว ในสภาวะเหล่านั้น จิตสามารถแยกให้เห็น ถึงอารมณ์ต่าง ๆ ถึงความวุ่นวายต่าง ๆ จิต เมื่อรับรู้ได้แล้วก็วางเฉยไม่ไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ที่มากระทบ อารมณ์ที่ตั้งอยู่ จิตที่รับรู้ จิตที่วางเฉย อารมณ์ก็ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ๆ เป็นแบบนี้ตลอดทั้ง 4 วัน ของการภาวนา จนกระทั่งท่านอาจารย์เดินทางมาถึง ช่วงเที่ยงของวันที่ 22 ตุลาคม 2563 และขึ้นสอนธรรมในช่วงบ่าย จิตข้าพเจ้าก็ไม่มีการหวั่นไหวใด ๆ
ในช่วงเย็น ขณะภาวนา สภาวธรรมก็ยังเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ และในช่วงขณะหนึ่งของจิต จิตเกิดความคิดว่า “นี่ไง ธรรมของพระพุทธองค์ ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความเสียใจ นี่ไง เราเห็นแล้ว นี่ไง การที่เราเห็นแล้ว เราวางอารมณ์เหล่านั้น ไม่ไปคลุกตาม ไม่ไปเกาะเกี่ยวตาม นี่ไง ทางเดินที่พระพุทธองค์ทรงเดินไป และเรากำลังเดินทางตามรอยธรรมของพระพุทธองค์ นี่ไง” จิตก็ร้อง อ๋ออออออออออ เข้าใจแล้ว แวบแรกข้าพเจ้าดีใจ แต่ก็กำหนดว่าเรื่องของมัน แล้วก็ภาวนาต่อไปจนหมดเวลา ในวันต่อมา ท่านอาจารย์เรียกสอบอารมณ์ ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนสภาวธรรมนี้ให้ท่านอาจารย์ทราบ ท่านอาจารย์พูดว่า “บางคนเมื่อได้สภาวธรรมแล้ว จิตไม่เสถียรจึงทำให้ตกลงมาได้ ” เมื่อได้ฟัง จิตข้าพเจ้าก็ไม่หวั่นไหวหรือเสียใจแต่อย่างใด ก็ยังคงภาวนาด้วยจิตที่ปล่อยวางเรื่อยมา ในช่วงเย็นของวันนั้น คุณแม่ชีดวงมณีและคุณแม่ชีอรุณได้เมตตาให้ข้าพเจ้าถือร่มของท่านอาจารย์ไปวางไว้ที่แคร่หน้ากุฏิของท่าน ขณะที่นั่งคุกเข่าลง แล้ววางร่มไว้ที่แคร่ จิตของความกตัญญูต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เอ่อล้นหัวใจ ข้าพเจ้าต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้น เพราะกลัวเป็นการรบกวนท่านอาจารย์ขณะพักที่ข้างในกุฏิ แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลง กราบที่รองเท้าของพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น
ในการสอบอารมณ์ครั้งที่ 2 ท่านอาจารย์ได้ถามข้าพเจ้าว่า จิตกตัญญูของแม่ชีเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ข้าพเจ้าตอบท่านอาจารย์ด้วยจิตที่ไม่หวั่นไหว ว่า “ในครั้งแรกที่ศิษย์มา ศิษย์มีจิตที่กตัญญูเป็นที่ตั้ง แม้ในบางครั้งจะโดนกิเลสปลุกปั่นไปบ้าง แต่ความกตัญญูของศิษย์ไม่เคยลดน้อยลงเลยเจ้าค่ะ” ท่านอาจารย์ตอบว่า จิตที่กตัญญูนี่แหละเป็นจิตของผู้ที่พ้นแล้ว ขณะนั้น จิตของข้าพเจ้าไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นใด ๆ แต่จิตกลับฟังด้วยความสงบ ตั้งมั่น และมั่นคง แม้การร้องไห้ออกมา ก็ร้องด้วยจิตที่สงบตั้งมั่น เช่นกัน
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีวาสนายิ่งนักที่ได้พบท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล และสายธรรมเตโชวิปัสสนากรรมฐานนี้ และจะขาดไม่ได้เลยคือ หลวงพ่อสัญชัย จิตตภโล คุณแม่ชีดวงมณี และคุณแม่ชีอรุณ ผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่เป็นแรงหนุนอีกแรงให้เดินตรงไม่หลงทาง และท่านยังคอยช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่ คอยอยู่เคียงข้าง เพื่อส่งแรง ส่งพลัง ส่งกำลังใจ ประคับประคองทั้งกายและใจของข้าพเจ้าอย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มบวชและมาปฏิบัติอยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ ท่านจะคอยดูแล ชี้แนะ ตักเตือน คอยขัด คอยเกลา คอยช่วยเหลือ คอย แคะ แซะ แงะ ให้ข้าพเจ้า จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอให้ทุกท่านที่ได้มีวาสนาได้พบธรรมแท้ ได้เดินอยู่ในมรรคาแห่งความหลุดพ้นนี้ จงมีความศรัทธาที่มั่นคง หมั่นเพียรในการภาวนา เชื่อในปัจจัตตังในตนเอง มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ให้ธรรม ให้แสงสว่าง จงอย่าเป็นคนอกตัญญู จงเป็นบ่อเกิดแห่งความดีงามของผู้อื่น และรักษาความดีนี้ไว้จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาประมาณมิได้แห่งพระบรมศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดม ด้วยความเคารพสูงสุดเหนือเศียรเกล้า น้อมกราบพระอาจารย์ใหญ่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกยุคทุกสมัย และท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง