ประสบการณ์ภาวนา คุณมณฑา

..
ข้าพเจ้าชื่อมณฑา อายุ 41 ปี เป็นคนกรุงเทพ (แต่เกิดที่ จ.กาญจนบุรี เนื่องจากพ่อและแม่ได้มาทำงานที่จังหวัดนี้) มีพี่น้อง 4 คน เป็นผู้หญิงทั้งหมด ปัจจุบันแต่งงานมีครอบครัวแล้วทุกคน ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนแรก แต่งงานแล้ว และมีบุตรชาย 1 คน ปัจจุบันมีอาชีพค้าขาย พื้นฐานนิสัยเดิมของข้าพเจ้า เป็นคนขี้หงุดหงิด คิดมาก เก็บอารมณ์ ขี้น้อยใจ อารมณ์ร้อน แต่มีเมตตา สงสาร และใจอ่อน ไม่ชอบเอาเปรียบใครและก็ไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ
.
ชีวิตในวัยเยาว์ของข้าพเจ้า ค่อนข้างมีปัญหาครอบครัว พ่อของข้าพเจ้าทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เป็นคนเจ้าชู้ ดื่มเหล้า และชอบดื่มกับลูกน้องหลังเลิกงาน บางครั้งก็ไม่กลับบ้าน ทำให้แม่มีปัญหาทุกข์ใจบ่อย ๆ ทั้งเรื่องผู้หญิง และการเลี้ยงดูลูกอีก 4 คน แม่กับพ่อมีปัญหาเถียงกันบ่อยครั้ง แล้วยังมีปัญหาเรื่องเงินร่วมด้วย เนื่องจากบางช่วงไม่มีงานรับเหมาเข้ามา ทำให้เงินใช้จ่ายในครอบครัวไม่พอ พ่อกับแม่ก็เลยหันมาทำอาชีพค้าขายในช่วงที่ไม่มีงาน แต่ก็ไม่ได้ดีมากนัก เป็นอาชีพที่ไม่เคยทำ ต้องลองผิด ลองถูก หาของมาทำขายหลายอย่าง สุดท้ายก็มาลงตัวที่แม่ได้ขายโจ๊กจนลูก ๆ โต ทำมาหากินเลี้ยงชีพเองกันได้หมด พ่อของข้าพเจ้าก็กลับไปทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างเช่นเดิม
.
ชีวิตการทำงานของข้าพเจ้าเริ่มตั้งแต่อายุ 15 ปี เพื่อแบ่งเบาภาระแม่เรื่องค่าใช้จ่ายที่บ้าน และค่าเทอม เมื่อปิดภาคเรียนจะหางานทำอยู่เนือง ๆ จนจบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาการบัญชี แล้วก็ทำงาน เลยไม่ได้เรียนต่อ
.
เริ่มปฏิบัติภาวนาด้วยการบวชชีพราหมณ์ครั้งแรกที่วัดปากน้ำภาษีเจริญเมื่อประมาณปี พ.ศ.2552 (ช่วงเวลานั้นยังทำงานออฟฟิศอยู่และหยุดเฉพาะวันอาทิตย์) เหตุผลที่อยากบวชชีพราหมณ์ คือ ในช่วงนั้นได้แต่งงานมีบุตรชายและย้ายมาอยู่บ้านแม่สามี มีปัญหาในการเลี้ยงลูกกับแม่สามี ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ อยากหาทางออกที่เป็นที่พึ่งทางใจ รวมถึงการมีปัญหาครอบครัวมาตั้งแต่เด็กและเห็นความทุกข์ที่แม่กับพ่อชอบทะเลาะกันรวมถึงปัญหาเรื่องเงิน พอมีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระธรรมสิงหบุราจารย์) และหนังสือสวดมนต์ หนังสือธรรมะต่าง ๆ อีกหลายเล่ม จนมีโอกาสไปบวชกับน้องสาวคนที่ 3 ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ทำให้รู้และเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรมขึ้นมาบ้าง และจากการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น การได้สวดคำแปลทำให้รู้ธรรมในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน และได้ฟังธรรมที่พระเทศน์สอน จึงอยากทำบุญและปฏิบัติธรรมให้มาก ๆ ช่วงใกล้วันสำคัญทางศาสนา หากสามารถลางานเสาร์-อาทิตย์ได้ ก็จะบวชชีพราหมณ์อยู่เนือง ๆ และชวนแม่ไปบวชชีพราหมณ์ด้วย ได้มีกัลยาณมิตรที่รู้จักกันอยู่ใกล้ ๆ บ้าน จึงหมั่นชวนกันไปทำบุญทอดกฐิน ผ้าป่า ใส่บาตร ปฏิบัติธรรม ตามต่างจังหวัดและในกรุงเทพอยู่เนือง ๆ มีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เป็นหนังสือรวบรวมพระธรรมคำสอนของสมเด็จองค์ปฐมและสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ซึ่งข้าพเจ้าอ่านแล้วก็ยิ่งเข้าใจในกฎแห่งกรรมมากขึ้นและเห็นว่า กฎแห่งกรรมนั้นมีความซับซ้อนมาก ๆ จึงอยากไปกราบหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) วัดท่าซุง และได้ไปฝึกมโนมยิทธิ 1 ครั้ง ต่อมาก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือ รู้แล้วลุย จากพี่กัลยาณมิตรที่อยู่ข้างบ้าน ซึ่งได้มาจากน้าสาวอีกที เพราะเนื่องจากน้าสาวปฏิบัติธรรมและไปกราบครูบาอาจารย์อยู่เนือง ๆ และชอบซื้อหนังสือธรรมะมาอ่าน ส่งต่อมาให้ข้าพเจ้าอ่านอีกที ต่อมาข้าพเจ้าได้เห็นเพจข้ามห้วงมหรรณพฯ จากเฟซบุ๊กและจำได้ว่าเป็นของท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล จึงได้ติดตามอ่านคำสอนของท่านอาจารย์อยู่ตลอด และศรัทธาในคำสอนของท่านอาจารย์อย่างมาก จนได้เข้ามาสู่สายธรรมเตโชวิปัสสนา และได้เข้าคอร์สอานาปานสติเมื่อเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งช่วงนั้นท่านอาจารย์ยังได้เมตตามาสอนอานาปานสติด้วยตัวท่านเองก่อนที่ท่านจะหมดอายุขัย พอข้าพเจ้าทราบข่าวจากเฟซบุ๊กก็ทั้งตกใจแล้วก็คิดว่า ขออย่าให้สายเกินไปเลย แล้วก็รีบจัดเวลาและเตรียมตัวไปสวดมนต์ให้ท่านอาจารย์ตามที่ได้มีประกาศลงเฟซบุ๊กเพื่อรวมตัวสวดมนต์ตามจุดต่าง ๆ ข้าพเจ้าไปที่จังหวัดสระบุรีทันทีพร้อมกับคู่ชีวิต (ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นศิษย์แต่ข้าพเจ้าชวนมาเป็นเพื่อน) และคิดว่าหากผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ต้องรีบมาเป็นศิษย์ของท่านให้เร็วที่สุด แต่ข้าพเจ้าก็ยังไปเรียนคอร์สครูสมาธิ ของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร (สมเด็จพระญาณวชิโรดม) ช่วงเสาร์-อาทิตย์ และได้ไปปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์โกเอ็นก้าอีก 1 ครั้ง ส่วนเรื่องการรักษาศีลนั้น ถึงแม้จะปฏิบัติธรรมมาพอสมควร แต่การรักษาศีล 5 ข้อ ก็ยังไม่ครบ เพราะต้องทำงานที่ต้องมีการตกแต่งบัญชีอยู่ตลอดและบางครั้งก็มีความจำเป็นจะต้องโกหกในเรื่องงาน และใจยังไม่หนักแน่นในการรักษาศีลเพียงพอ จึงทำให้การรักษาศีลนั้นไม่บริสุทธิ์ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้สึกสบายใจเลยกับงานที่ทำ อยากหางานใหม่ที่ไม่ต้องทำผิดศีล จึงพยายามรักษาศีลให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
.
การเข้ามาสู่สายธรรมเตโชวิปัสสนา ครั้งแรกที่ได้มาธรรมสถาน คือ วันที่ได้มางานทอดผ้าป่ามหากุศล ฉลองพระมหามงคลโพธิญาณ ปี พ.ศ. 2559 เป็นปีที่มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา เป็นปีที่ปลาบปลื้มมาก ๆ ธรรมสถานที่เห็นอย่างกับสวรรค์บนดินจริง ๆ รวมถึงได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ที่เมตตาสอนจากจิตสู่จิต ธรรมที่ฟังในครั้งนั้นมีความรู้สึกว่า บุญที่เราทำผ้าป่า กฐินมาเยอะมาก จนเงินในบัญชีนี่เกือบจะหมด คู่ชีวิตก็มีห้ามแต่ข้าพเจ้าไม่ฟัง แต่ก็มีฉุกคิดขึ้นมาบ้าง พอมาได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ในครั้งนี้ พิจารณาได้เลยว่า นี่ข้าพเจ้าเมาบุญ หลงบุญ ทำจนแทบจะหมดตัวเพราะอยากมีบุญเยอะ ๆ แล้วธรรมที่ทำให้สะเทือนเข้าไปในจิตจนร้องไห้ "การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์" ท่านได้ย้ำคำนี้ถึง 3 ครั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) ด้วยจิต ณ เวลานั้นคิดขึ้นมาว่า เราเกิดมาหลายภพชาติ ไม่รู้เป็นอะไรมาบ้าง แล้วก็ทุกข์จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่ในตอนเด็ก พ่อแม่มีปัญหาทะเลาะกัน อีกทั้งเรื่องงานที่มีปัญหา ต้องเจอเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเจ้านาย และต้องทำงานตกแต่งบัญชีซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำอย่างมาก จนมาแต่งงานก็มีปัญหากับคุณแม่สามี และก็มีปัญหาเรื่องลูกอีก ข้าพเจ้าร้องไห้อยู่สักพักหนึ่ง และก็คิดว่า สายธรรมนี้แหละที่เข้มแข็งยิ่งนัก และต้องเข้ามาเป็นศิษย์ให้ได้
.
ตอนที่ได้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านอาจารย์ครั้งแรก ก็กล่าวกับท่านว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้ามาเป็นศิษย์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ ขณะที่กล่าว ทั้งตัวและเสียงสั่นมาก ๆ ก่อนกราบท่านอาจารย์ อยู่ ๆ ก็มีจิตคิดปรามาสท่าน แต่เนื่องจากมีการปฏิบัติธรรมมาบ้างจึงทำให้คิดได้ว่า นี่เป็นความคิดของกิเลส เลยไม่ได้เชื่อตามความคิดที่เกิดขึ้นนั้น แล้วจิตที่กังวลก่อนขึ้นกราบท่านอาจารย์อีกเรื่อง คือ ถึงแม้จะผ่านการปฏิบัติธรรมมาหลายสายมาก แต่พอได้ฟังพิธีกรเล่าถึงหลักการปฏิบัติของสายธรรม ทั้งปิดวาจา ทานอาหารมังสวิรัติ เก็บโทรศัพท์ และปฏิบัติภาวนาครั้งละ 50 นาที พักทุก 10 นาที ก็รู้ได้ว่าสายธรรมนี้เข้มแข็งมาก ๆ ข้าพเจ้าจะไหวไหมกับการเข้าคอร์ส แต่อีกจิตก็คิดอีกว่า เพราะรู้ว่าเกิดแล้วเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จึงอยากจะพ้นทุกข์ ฉะนั้นก็ต้องลองดู เพราะโอกาสมาถึงแล้ว
.
เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมครั้งแรกวันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม พ.ศ. 2561 คอร์สนี้มีบททดสอบความศรัทธาของข้าพเจ้าตั้งแต่ก่อนจะเข้าคอร์ส เนื่องจากมีข่าวของท่านอาจารย์และสายธรรมโดนกล่าวหาว่าเป็นลัทธิ และท่านอาจารย์ทำตนอยู่เหนือพระสงฆ์ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหวใด ๆ เลย เพราะพิจารณาและได้อ่านคำสอนของท่านแล้วมิได้เป็นดังที่ผู้กล่าวหาว่าสักนิด เมื่อถึงเวลาเข้าคอร์สข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก ยิ่งช่วงวันแรกที่ท่านอาจารย์มาถึง พอรู้ว่าท่านมาและได้เป็นศิษย์ของท่านสมดั่งที่ตั้งใจแล้วนั้น มีความปลื้มปีติมาก แต่การปฏิบัติเตโชวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรกนี่ไม่ง่ายเลย มีทั้งเวทนา ปวดเอว หลัง มือ แขน และขาขวามาก สภาวธรรมในช่วงนั้น มีความร้อนที่หู มือ และมีเสียงเพลงที่เคยฟัง ข้าพเจ้ามีเรื่องติดค้างใจมาจากพี่ที่เป็นเพื่อนบ้านก่อนมาปฏิบัติด้วย เรื่องการที่ข้าพเจ้าได้งานใหม่ เขาได้บอกกับข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้าได้งานใหม่เป็นเพราะว่าเขาได้ช่วยอธิษฐานให้ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกต่อต้านและเถียงขึ้นมาในใจทันทีว่า หากข้าพเจ้าไม่ได้สร้างเหตุไว้ ผลก็คงจะไม่ได้รับ ข้าพเจ้าได้กราบเรียนเรื่องนี้ต่อท่านอาจารย์ เพราะว่าเรื่องพี่คนนี้วนอยู่ในหัวของข้าพเจ้าอยู่ตลอดการภาวนา ท่านอาจารย์ได้เมตตาตอบว่า คำสอนของท่านถูกต้องและจริงอยู่ แต่สิ่งที่เขาอธิษฐานให้นั้นเขาหวังดีกับเรา ให้แยกส่วนดีกับส่วนไม่ดีออกจากกันเสีย ข้าพเจ้าน้อมรับคำสอนของท่าน แต่ในใจยังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แล้วก็ได้มาเดินจงกรมข้างล่าง และน้อมนำคำสอนมาพิจารณา จนจิตเกิดปัญญาขึ้นมาว่า คนทุกคนก็มีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกัน รวมทั้งตัวเราเองก็ยังมีทั้งส่วนดีและไม่ดีเลย ฉะนั้นจาน (ที่ใช้ใส่อาหาร) ที่ดีเราก็เก็บไว้ จานที่แตกเราก็ทิ้งไปเท่านั้น สิ่งต่าง ๆ ก็เหมือนกัน อะไรดีเราก็ยังเก็บไว้ใช้ อะไรไม่ดีเราก็ทิ้งไป ก็ทำให้จิตของข้าพเจ้านั้นโล่ง และเข้าใจในธรรมมากขึ้น คอร์สนี้ทำให้จิตของข้าพเจ้าเบามาก และเกิดปัจจัตตังกับตนเอง ถึงแม้จะไม่ได้เห็นนิมิตอะไรกับใคร แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ จิตเบาจากธรรมที่ท่านอาจารย์เมตตาสอนข้าพเจ้า เมื่อมาพิจารณาตนเองย้อนหลัง ตามปกติ ปากของข้าพเจ้าจะไวมาก เมื่อจะพูดอะไรออกไปก็ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี ไม่คิดถึงคนฟัง คิดอะไรก็พูดออกไปตรง ๆ โดยที่คำพูดนั้น อาจจะไม่เข้าหูคนฟัง จนเพื่อนร่วมงานด้วยกันพูดว่า นี่พี่ไปปฏิบัติธรรมมาจริงหรือเปล่า จึงรู้ว่า นี่เราไม่มีสติเท่าทันคำพูดของเราเองเลย ท่านอาจารย์ยังได้เมตตาสอนว่า ไม่ว่าครูบาอาจารย์สายไหนที่เราปฏิบัติธรรมมานั้นล้วนส่งไม้ต่อให้เราได้ก้าวสูงขึ้นไปทั้งสิ้น เราต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุก ๆ ท่าน หลังจากที่ได้ออกจากคอร์สเตโชวิปัสสนากรรมฐานคอร์สแรกแล้ว กลับมาที่บ้าน ข้าพเจ้าก็ตั้งใจปฏิบัติที่บ้าน ภาวนาเช้า-เย็นทุกวัน ยกเว้นวันที่มีธุระ ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์จากซีดีธรรมบรรยายในคอร์สที่ว่า ขนาดร่างกายยังต้องอาบน้ำเช้า-เย็น ชำระทุกวัน แล้วทำไมเราจึงไม่ชำระจิตเช้า-เย็นทุกวัน เพื่อให้ได้น้อมมาเป็นกำลังใจในการปฏิบัติ แล้วในช่วงเช้าที่ข้าพเจ้าไปทำงานนั้น ข้าพเจ้าจะขับรถออกจากบ้านก่อน 6 โมงเช้า เพื่อไปถึงที่ทำงานแต่เช้า แล้วก็จะได้มีเวลาภาวนาก่อนเข้างาน 8.30 น. สถานที่ข้าพเจ้าใช้ภาวนาก็คือในรถของข้าพเจ้าเอง จอดให้หลบสายตาจากผู้คนนิดหนึ่ง เพื่อการปฏิบัติของข้าพเจ้าจะเป็นส่วนตัวและไม่รบกวนใคร พอกลับมาปฏิบัติที่บ้านได้ไม่นานก็มีอาการ น้ำตาไหล น้ำมูกไหล แล้วมีอาการเรอตลอดเวลาที่ภาวนา เรอจนข้าพเจ้าส่งจิตออกมานับเลยว่า ตลอดเวลาที่ภาวนาจะเรอสักกี่ครั้ง ประมาณ 70-80 ครั้งต่อการภาวนา แต่ข้าพเจ้าก็เพียรปฏิบัติได้ทุกวัน มีความอดทน และศรัทธาในวิธีการปฏิบัติ บัดนี้ข้าพเจ้าค้นพบการปฏิบัติธรรมที่เหมาะแก่จริตของข้าพเจ้าแล้ว
.
คอร์สที่ 2 ของข้าพเจ้า เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 พอมาปฏิบัติภาวนาที่ธรรมสถาน อาการเรอของข้าพเจ้าก็เบาลง แทบจะไม่เรอเลย แต่เมื่อท่านอาจารย์เรียกสอบอารมณ์ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะกราบเรียนอะไรดี เพราะไม่ค่อยมีสภาวธรรมอะไร นอกจากมีเวทนาเยอะมาก ก็เลยกราบเรียนถึงสภาวะที่ปฏิบัติที่บ้านแล้วมีอาการเรอตลอดเวลาที่ภาวนา ท่านเมตตาตอบข้าพเจ้าว่า เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้เคยเป็นผู้ช่วยในการขายสุรา เพราะถ้าหากข้าพเจ้าเป็นผู้ขายเองคงไม่มีโอกาสได้มานั่งปฏิบัติธรรมเช่นนี้ เพราะกรรมที่ทำนี้ ทำให้คนที่มาซื้อกินเกิดการขาดสติ และบางครั้งถึงขั้นเสียชีวิต ให้ข้าพเจ้าไปขอขมากรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วภาวนาไปเรื่อย ๆ จะดีขึ้น ต้องใช้เวลา แล้วจะค่อย ๆ หายไป ข้าพเจ้าน้อมรับทราบและกราบท่านอาจารย์ เมื่อกลับมาพิจารณาในอุปนิสัยของข้าพเจ้าจะเป็นคนที่ขี้หลง ขี้ลืม วิตกกังวล และก็มีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าเกือบเสียชีวิตโดยการข้ามถนน ครั้งแรกข้าพเจ้าจะข้ามถนนตรงถนนเจริญนคร ขณะที่กำลังดูรถและจะข้าม จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา และจะข้ามถนนเช่นกัน ก็เลยมาชวนข้าพเจ้าข้ามด้วย และมาฉุดมือของข้าพเจ้าข้ามถนนทันที ในขณะที่รถนั้นแล่นมาเร็วมาก ถ้าหากข้าพเจ้าวิ่งไม่เร็วพอหรือสะดุดล้มกลางคัน คงไม่รอดแน่ ๆ และช่วงนั้นข้าพเจ้าก็คงไม่ทันได้นึกถึงบุญต่าง ๆ อะไรเลย มัวแต่กลัวรถจะชน ถ้าตายตอนนั้นไม่รู้ว่าจิตจะไปที่ไหนจริง ๆ
เหตุการณ์ที่ 2 ข้าพเจ้าได้คุยโทรศัพท์กับเจ้านายเสร็จและโดนตำหนิเรื่องงาน ในขณะที่ข้าพเจ้าก็เดินอยู่ที่ริมฟุตบาทข้างถนน ในหัวของข้าพเจ้าก็คิดถึงคำตำหนิของเจ้านาย คิดไปเดินไป จนเดินมาถึงแยกที่ต้องข้ามถนน ข้าพเจ้าไม่มีสติ เดินข้ามแยกถนนใหญ่ที่สีลม ในขณะที่เป็นสัญญานไฟเขียวพอดี โอ้ว! เอาไงดี สติระลึกได้อยู่ที่กลางถนนพอดี รีบวิ่งอย่างไวเพื่อข้ามไปอีกฝั่งทันที โชคดีที่บุญยังมีก็เลยวิ่งถึงอีกฝั่ง โดยไม่เป็นอะไร นี่แหละหนาที่ว่า การขาดสติทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย นี่คงเป็นกรรมจากที่ข้าพเจ้าได้เคยช่วยขายสุรา ทำให้เจ้ากรรมนายเวรขาดสติเมาจนเสียชีวิต กรรมข้อขายสุรานี่ไม่เบาเลย จนปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าก็ยังมีอาการเรออยู่ตลอด มีบางช่วงเท่านั้นที่เบาและเกือบหายไป แต่ก็ไม่หายแล้วกลับมาเรออยู่ ต้องเพียรต่อไปอีก
.
และในปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าตั้งใจจะลาออกจากงานประจำ เนื่องจากหน้าที่ที่ทำอยู่นั้น จะต้องมีการตกแต่งตัวเลขเพื่อเสียภาษีให้น้อยที่สุด เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้านาย ข้าพเจ้าต้องทำอย่างจำใจ และยิ่งได้ฟังธรรมทั้งในซีดีและในงานต่าง ๆ รวมถึงในคอร์สจากท่านอาจารย์ว่า ศีลเป็นเครื่องกั้นนรก หากข้าพเจ้ายังรักษาศีลไม่บริสุทธิ์มากพอ แล้วธรรมของข้าพเจ้าจะก้าวหน้าได้อย่างไร ในเมื่อศีลเป็นฐานของธรรมทั้งหมด เป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าจึงมีความตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์เท่าที่จะทำได้ และได้มีการปรึกษากับศิษย์พี่ในสายธรรมว่า อยากจะออกจากงาน ไม่อยากทำเพราะต้องตกแต่งตัวเลข จึงตัดสินใจชวนออกมาขายของด้วยกัน แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ คือ ยอดขายไม่ได้ดีพอกับค่าใช้จ่าย จึงตัดสินใจเลิก เป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก ทำให้ข้าพเจ้ายังไม่มีอาชีพรองรับ ต้องทำใจและออกมาตั้งรับว่า จะเอาอย่างไรต่อดี ระหว่างที่รอนี้ก็เลยไปปฏิบัติธรรมที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ พอกลับมาก็ได้ทราบข่าวเรื่องธาตุขันธ์ของท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจบวชให้กับท่านอาจารย์ทันที ในวิกฤตย่อมมีโอกาส ข้าพเจ้าได้รับโอกาสที่ดีมาก ดีใจมาก เพราะถ้ายังทำงานประจำอยู่ ข้าพเจ้าคงไม่มีโอกาสได้บวชให้ท่านอาจารย์อย่างแน่นอนในระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
.
เมื่อกลับมาใช้ชีวิตปกติ ก็มาตั้งหลักอีกครั้ง ตัดสินใจทำอาชีพค้าขาย ช่วงนี้ทดสอบกำลังใจอย่างมาก เพราะว่าไม่ง่ายเลยสำหรับแม่ค้ามือใหม่ทั้งหัดทำและหัดขาย ต้องฝึกฝนการทำขนมออกมาขาย กว่าจะได้ต้องทั้งชิม ทั้งทดลองทำหลายครั้ง ขายตลาดเช้าของหมู่บ้าน แรก ๆ ก็ขายดี แต่พอไม่กี่เดือนลูกค้าก็เริ่มเบื่อ ข้าพเจ้าก็เริ่มหาของกินอย่างอื่นมาทำขาย ตอนนี้ก็เริ่มพออยู่ได้ มีลูกค้าประจำมากขึ้น แต่ไม่ถึงกับขายดี ข้าพเจ้าก็ต้องอดทน เพื่อศีลที่ต้องรักษาอย่างดีที่สุด แลกกับเงินในบัญชีที่ลดลงจากที่ไม่ได้ทำงานประจำ และการที่ต้องทำงานที่ลำบากกว่าเดิม แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมา คือ เวลาเพื่อทำงานจิตอาสา และเข้าคอร์สตามที่สามารถเข้าได้ โดยไม่ต้องไปขออนุญาตเจ้านายให้ลำบากใจอีกแล้ว ข้าพเจ้าได้เข้าคอร์สที่ 3 เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 คอร์สที่ 4 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ช่วงนี้ข้าพเจ้าภาวนาชำระจิตตนเอง และได้สังเกตว่า มีจิตที่ละเอียดมากขึ้น และจากการที่เคยโกรธ งอนคู่ชีวิตและลูกเป็นวัน ๆ เดี๋ยวนี้เหลือไม่กี่ชั่วโมง อารมณ์หงุดหงิดก็วางได้ไวขึ้นกว่าเดิม แต่ก็มีภาวนาแล้วอยู่ ๆ ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ผิดปกติ งอนคนนั้น คนนี้ ไปหมด แต่ก็เข้าใจว่า เกิดจากการภาวนาไปเจอสังขารความน้อยใจ และก็เพียรภาวนาไปเรื่อย ๆ อารมณ์ก็ค่อย ๆ หายไป
.
คอร์สที่ 5 วันที่ 21-28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ย้อนไปก่อนเข้าคอร์สนี้ ช่วงที่ข้าพเจ้าได้บวชให้กับท่านอาจารย์เมื่อวันที่ 7-10 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ข้าพเจ้าได้มีสภาวธรรม คือ ได้เห็นภาพประตูไม้สีน้ำตาล ที่ประตูมีหัวสิงโตอยู่ทั้ง 2 ข้าง และสิงโตมีห่วงอยู่ที่ปาก ซึ่งเป็นภาพที่แวบเข้ามาในจิต ข้าพเจ้าจำภาพนั้นได้แม่นมาก ในช่วงการรายงานสภาวธรรม ข้าพเจ้ากลับมีความคิดว่า ไม่อยากกราบเรียนสภาวธรรมนี้ เพราะคิดว่า อาจจะไม่สำคัญและคิดไปเอง แต่เมื่อตัดสินใจกราบเรียนท่าน ท่านอาจารย์เมตตาตอบว่า ประตูที่เห็นนั้นเป็นประตูนิพพาน ประตูนิพพานเป็นประตูไม้ธรรมดา นิพพาน คือ ธรรมชาติ ไม่ใช่ประตูสีทองอะไรนั่น แสดงว่าทำบารมีมาดีพอควร เมื่อถึงเวลาอะไรก็ห้ามไม่อยู่ จงพากเพียรต่อไป
.
ข้าพเจ้ารู้สึกปีติและดีใจที่ภาพที่เห็นไม่ได้โดนกิเลสหลอก และข้าพเจ้าเข้าใจว่า พระพุทธองค์ทรงมีพระมหาเมตตา รวมถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์เมตตาให้ข้าพเจ้าได้สอบถาม จะได้ไม่ต้องคิดไปเองว่าจริงหรือไม่ อันที่จริงท่านอาจารย์เมตตากล่าวเตือนไว้เนือง ๆ อยู่แล้วว่า ถ้ามีสภาวธรรมใดให้มาสอบถามท่านอาจารย์โดยตรง ไม่ให้ไปคิดเอาเอง เพราะจะได้รู้ว่าจริงหรือโดนกิเลสหลอก
.
สิ่งที่ท่านอาจารย์เมตตาตอบอธิบายนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มใจ และเป็นกำลังใจให้กับข้าพเจ้าอย่างมาก และไม่เคยคิดว่า ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสเห็นประตูนิพพานกับใครเขา ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ข้าพเจ้าก็สามารถที่จะไปนิพพานกับเขาได้ ตอนนี้ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในตนเอง และเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าหากเราตั้งใจรักษาศีล เพียรภาวนา สะสมบารมี และยอมรับในสิ่งที่ต้องชดใช้ ข้าพเจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะเปิดประตูนิพพานได้ ข้าพเจ้าเชื่อในคำสอนของท่านอาจารย์แล้วว่า ขอให้ศรัทธาในตนเอง เราก็ทำได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าเชื่ออย่างยิ่ง แล้วก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมท่านอาจารย์ถึงได้สร้างธรรมสถานด้วยไม้และหลังคาที่เป็นหญ้าคา มีต้นไม้เยอะแยะเพื่อให้ดูสดชื่น และให้ธรรมสถานเป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะท่านอาจารย์อยากให้จิตอยู่กับธรรมชาติมากที่สุด เพราะธรรมะนั้นคือ "ธรรมชาติ" เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ทำไมท่านอาจารย์ถึงไม่สร้างเรือนพักเป็นตึก จะได้ทำความสะอาดสะดวก ไม่ต้องมาเก็บกวาดใบไม้ตลอดเวลา บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว
.
การที่ข้าพเจ้าได้มาเป็นศิษย์ในสายธรรมทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสในการตอบแทนพระพุทธศาสนา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ในการเป็นจิตอาสาในนิทรรศการ Spiritual Life การเดินรณรงค์เพื่อยับยั้งการกระทำลบหลู่ต่อพระสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ที่สวนจตุจักร ตอนที่ได้มีโอกาสไปเดิน รู้สึกมีความภาคภูมิใจอย่างมาก เหมือนได้เป็นทหารปกป้องพระพุทธองค์เลย รวมถึงการภาวนาเพื่อแผ่นดิน ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่ได้ตอบแทนคุณของแผ่นดินที่ข้าพเจ้าจะไม่พลาดเลย เพราะ โอกาสที่จะได้ตอบแทนคุณแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่แบบนี้หาโอกาสทำได้ยากยิ่ง และเป็นสิ่งที่สมควรต้องตอบแทนมากที่สุด เพราะถ้าไม่มีผืนแผ่นดินเกิดให้อาศัย ก็จะไม่มีโอกาสได้อยู่ดี กินดี และได้ปฏิบัติธรรมอย่างแน่นอน และยังมีงานจิตอาสาอีกหลายอย่างที่ท่านอาจารย์ได้เมตตาเปิดทางให้ศิษย์ได้สร้างบารมีให้กับตนเองอย่างยิ่ง ช่างเป็นวาสนาของศิษย์จริง ๆ ที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในสายธรรมนี้ ถึงแม้บางครั้งจะท้อ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ถอย เพราะท่านอาจารย์ยังสู้ ข้าพเจ้าก็ขอสู้ไปพร้อมกับท่าน และไม่ใช่การได้มีโอกาสสร้างบารมีเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสได้แก้ไขกรรมที่ตนเองเคยพลาดพลั้งและกระทำผิดไว้ในอดีตอีกด้วย ช่างเป็นวาสนายิ่งแล้ว
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของคุณพระศรีรัตนตรัย องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดม ด้วยความเคารพสูงสุดเหนือเศียรเกล้า ขอน้อมกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกภพทุกสมัย ขอน้อมกราบพระอาจารย์ใหญ่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
.
หากมีคุณงามความดีใดที่เกิดจากการเผยแผ่ธรรมทานในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศบุญทั้งหมดนี้เป็นอาจาริยบูชาแด่ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ขอให้ท่านอาจารย์มีธาตุขันธ์ที่แข็งแรงสมบูรณ์ และทำกิจแห่งพระพุทธศาสนา หรือกิจอื่นใดที่ท่านอาจารย์ปรารถนาได้สำเร็จลุล่วงทุกประการด้วยเทอญ