ประสบการณ์การปฎิบัติธรรมของคุณแพรววไล
เมื่อปี 2550 ข้าพเจ้าได้ย้ายออกมาอยู่บ้านที่เป็นทั้งร้านค้าและที่อาศัยด้วยของตนเอง ทำให้ข้าพเจ้าเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้านอย่างเต็มที่ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนดูแลทุกเรื่องในบ้าน รวมทั้งเรื่องคนรับใช้ที่บ้าน อัตตาของข้าพเจ้าก็ใหญ่ตามไปด้วย ข้าพเจ้าเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคนรับใช้ทำไม่ถูกใจ ข้าพเจ้าเริ่มเสียงดังกับทุก ๆ คน ทั้งลูกและสามี และแสดงท่าทางที่เกรี้ยวกราดไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตนเองได้ จนกระทั่งสามีเห็นว่าดูท่าทางจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จึงแนะนำให้ข้าพเจ้าไปปฎิบัติธรรมเพื่อให้ใจเย็นลง
ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งของภาคเหนือ เป็นสถานปฏิบัติธรรมที่สัปปายะมาก ห้องพักเดี่ยว รวมทั้งห้องปฎิบัติธรรม ติดเครื่องปรับอากาศ ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติ ครั้งแรก 3 วัน หลังจากนั้น 2 เดือนข้าพเจ้าก็ไปปฏิบัติที่เดิมอีก 3 วัน ปฏิบัติธรรมสองครั้งแล้วรู้สึกยังปฏิบัติได้ไม่ดีเลย เพราะไปถึงกว่าจิตใจจะสงบได้ก็ใช้เวลา 2 วัน วันที่จะเริ่มซึมซับความสงบได้คือเช้าวันที่ 3 ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะลากรรมฐานแล้ว ข้าพเจ้าน้ำตาไหลอาบสองแก้มว่าคนรอบข้างเขาจะต้องคาดหวังกับข้าพเจ้ามากเพียงใด
จนเมื่อได้อ่านคำสอนของพระอาจารย์ สิ่งที่ได้ก็คือการได้เริ่มต้นที่จะเห็นสภาวธรรม ข้าพเจ้าซึมซับสภาวะธรรมได้เป็นอย่างดี สภาวะธรรมไฟกับลมที่จะปรากฎชัดในตอนปฎิบัติธรรมแบบกายานุปัสสนาโดยมีสติดูที่การเคลื่อนมือและการเดินจงกรม เมื่อกลับมาจากการปฏิบัติธรรม จะถามพระอาจารย์ว่า ถ้าหากมีเวลาจำกัดควรจะสวดมนต์หรือควรจะภาวนาดี
พระอาจารย์แนะนำให้สวดพระปริตรธรรม ข้าพเจ้าได้สวดกรณียเมตตสูตร เป็นประจำแล้วทำให้ความมักโกรธ ของข้าพเจ้าเบาบางลง จนไม่โกรธใครตลอดหนึ่งเดือน และได้หาเวลาไปปฏิบัติธรรมที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ปีละครั้งหรือสองครั้ง จำนวน 3 วัน มากที่สุดก็ 4 วัน แต่ไม่เคยคิดว่าจะเอาการภาวนามาปฏิบัติที่บ้าน
สุดท้ายแล้วความโกรธก็ยังคงวนเวียนกลับมาอีก สงบได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
จนกระทั่งปี 2558 ดิฉันได้เจอกัลยาณมิตรท่านหนึ่งชื่อคุณสุภารัตน์ เธอมีกิริยาสุภาพ อ่อนโยน เยือกเย็นยิ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจในตัวกัลยาณมิตรท่านนี้เป็นอย่างมาก ส่วนข้าพเจ้านั้นกลับเป็นบุคลิกตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง คือเป็นคนใจร้อน มักโกรธ หยิบจับสิ่งใดจักทำด้วยความคล่องแคล่ว ว่องไว แต่สติตามไปคอยกำกับไม่เคยทันเลย มักจะพูดหรือทำไปโดยขาดความยั้งคิดในหลาย ๆ ครา
คุณสุภารัตน์เล่าให้ฟังว่า ทุกเช้าตนเองตื่นขึ้นมา เพื่อภาวนาทุกวัน ที่บ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกทึ่งและประหลาดใจในตัวเธอยิ่งนัก รู้สึกตื่นเต้นมากจึงถามเธอว่า “ทำได้ด้วยหรือการปฏิบัติธรรมที่บ้านและทำอย่างไรถึงขึ้นมาภาวนาได้ทุกเช้าและทุกวัน”
เธอบอกว่า “ถ้าไม่ลุกขึ้นมาเสียชื่อท่านอาจารย์”
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า โอ้โห..ท่านอาจารย์สอนอย่างไรนะ ทำไมเธอถึงขึ้นมาภาวนาได้ที่บ้านทุกวันแบบนี้ ข้าพเจ้าเก็บความประทับใจนี้ไว้
เนื่องด้วยที่ผ่านมาพระอาจารย์มีเมตตาต่อข้าพเจ้าเสมอ คอร์สเจ็ดวันทุกครั้งหากข้าพเจ้าสมัคร ไม่ว่าจะเป็นวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ก่อนหรือปิดคอร์ส พระอาจารย์จะอนุญาตเสมอมา ข้าพเจ้าจึงได้แต่สดับฟังเรื่องราวจากกัลยาณมิตรของข้าพเจ้า โดยยังไม่คิดจะสมัครลงคอร์สเตโชวิปัสสนากรรมฐานแต่อย่างใด
กอปรกับสามีมีวาสนาได้รู้จักกับคุณหมอศิริกุล ในคราที่คุณแม่สามีไปรักษาตัวอยู่รพ.แห่งหนึ่ง และได้เข้าอยู่ในห้องไลน์ ‘บ้านรักษ์ธรรม’ สามีได้คอยร่วมสนับสนุนในทุกบุญทุกกิจที่ได้ยินได้ฟังจากคุณหมอศิริกุลด้วยดีเสมอมา
ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น พระอาจารย์ได้เดินทางกลับประเทศ จึงหยุดสอนการปฏิบัติธรรมไป ข้าพเจ้าจึงออกตามหาครูบาอาจารย์อีกครั้ง
ข้าพเจ้าจึงสมัครเข้าคอร์สเตโชวิปัสสนา ด้วยความช่วยเหลือของกัลยาณมิตรคุณสุภารัตน์ในการที่ช่วยอธิบายวิธีการยื่นใบสมัคร
วันที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิโทรมาสัมภาษณ์ว่า ได้เข้าคอร์สแล้ว ข้าพเจ้าจะตอบรับหรือสะดวกมาเข้าคอร์สในวันที่ 26 มีนาคม – 2 เมษายน 2560 ไหม เนื่องจากในวันที่ 26 มีนาคม จะต้องไปไหว้บรรพบุรุษประจำปีที่สระบุรี ข้าพเจ้าเกิดความลังเลขึ้นว่าจะทำอย่างไรดีหนอ
เจ้าหน้าที่บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ยกเลิกไปก่อน” “ให้สมัครเข้ามาใหม่” ซึ่งข้าพเจ้าก็ตอบว่า”ตกลงค่ะ” “ยกเลิกไปก่อนค่ะ”
แต่ผ่านไป 2-3 นาที สิ่งที่ข้าพเจ้าตระหนักได้ก็คือการสมัครคอร์สนี้รอมาร่วม 6 เดือนแล้ว การที่เวลาคลาดเคลื่อนเพียง 3-4 ชั่วโมง กับการปฎิบัติธรรม 7 วัน มันไม่คุ้มค่าเลย ข้าพเจ้าโทรศัพท์กลับไปบอกเจ้าหน้าที่ว่า ข้าพเจ้า “ขอให้คำตอบพรุ่งนี้ค่ะ”
พอวันรุ่งขึ้นทุกคำถามที่เจ้าหน้าที่ถามข้าพเจ้าตอบว่า “ไปไปไป อย่างเดียวค่ะ” เจ้าหน้าที่ถามว่า “ไม่ต้องไปไหว้เช็งเม้งแล้วเหรอ” ข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่ต้องไปแล้วค่ะ”
แต่ในใจกลับคิดว่า ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติธรรมมาไม่เคยมีว่า ตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมแล้วต้องยกเลิกหรือเลื่อนออกไปใด ๆ ทั้งสิ้น ตื่นเต้นมากที่จะได้เข้าคอร์ส 8 วัน 7 คืนครั้งแรกในชีวิต
เมื่อมาถึงธรรมสถาน ในสองวันแรกปฏิบัติสมาธิแบบอานาปานสติ ข้าพเจ้าไม่สามารถดำรงสติได้เลย ตกภวังค์ตลอด เนื่องจากรู้สึกอากาศร้อนอบอ้าวมาก ร่างกายไม่เคยชินมาก่อนเลย ได้แต่มองขึ้นบนเพดานเห็นมีพัดลมหลายตัวรู้สึกดีใจ ว่าเดี๋ยวพัดลมคงจะเปิด จนกระทั่งจบคอร์สก็ไม่เห็นพัดลมหมุนเสียที
แต่เทวดาท่านคงเมตตามาก เพราะคืนแรกฝนตกหนักทำให้อากาศเย็นสบายไปหลายวัน การปฏิบัติอานาปานสติคือ การให้นั่งหลับตาเพียงอย่างเดียว กำหนดดูที่ช่องจมูกดูลมหายใจเข้าออกเหมือนกับเป็นยามเฝ้าประตู ข้าพเจ้าสามารถนั่งได้เพียง 10 นาทีเท่านั้น เพราะในชีวิตข้าพเจ้าไม่เคยนั่งนิ่ง ๆ โดยไม่ต้องขยับร่างกายเลย พอลืมตามาเห็นทุกคนนั่งกันยังไม่ไหวติง รู้สึกทึ่งกับทุกท่านมาก ก็ได้พยายามนั่งนิ่ง ๆ เฝ้าดูลมหายใจต่อไปด้วยความรู้สึกทรมานยิ่งนัก
จนกระทั่งวันที่ 3 ที่ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ได้มาให้กรรมฐานเตโชวิปัสสนา เปลี่ยนจากการเฝ้าดูลมหายใจที่ช่องจมูกมาเพ่งที่มือ รู้ให้ชัด รู้สึก focus ดีขึ้นแต่ทำได้ไม่นานอีกเช่นเคยจนได้ฟังเทศน์จากท่านอาจารย์
และท่านอาจารย์พูดว่า “คอร์สก่อน ศิษย์ซัดเข้าไปคนละ 2 – 3 ชั่วโมง” ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความฮึกเหิม ในช่วงการปฏิบัติเองที่เรือนจึงกำหนดไว้ ที่ถึงแม้จะมีหรือไม่มีสภาวะธรรมใด แต่ท่านอาจารย์บอกว่าต้องภาวนาต่อไป
หลังจากวันที่ 4 ได้เรียนรู้เรื่องมหาสติ จึงนำหลักการนั้นมาภาวนาที่เรือนปฏิบัติ กำหนดไว้ 3 ชั่วโมงโดยเจริญมหาสติตลอด 2 ชั่วโมง แต่พอชั่วโมงที่สองขึ้นชั่วโมงที่สาม กำลังสติอ่อนแรง แต่ก็ยังคงอยู่บนอาสนะรอจนหมดเวลา 3 ชั่วโมง และหมดแรงจึงรู้ว่า ได้กำหนดสิ่งที่เกินกำลังเกินไป แต่ในส่วนลึกข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจยิ่ง ที่สามารถภาวนาได้จาก 10 นาทีมาเป็นเป็น 2 ชั่วโมงได้ เพราะท่านอาจารย์ วิปัสสนาจารย์ที่เคี่ยวกรำจิตอย่างนักรบโดยแท้
วันที่ไปภาวนาใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ท่านอาจารย์ได้เทศน์ว่า ผู้ที่ฟังเทศน์แล้วน้ำตาไหล รู้สึกซาบซึ้งนั้น ก็เพราะว่าตนเองได้อธิษฐานจิตไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าได้อยู่เบื้องหน้าสัตบุรุษผู้รู้ธรรมแล้ว น้ำตาของข้าพเจ้าไหลอาบแก้มด้วยความปีติเป็นดั่งคำอธิษฐานจิตแล้วจริง ๆ เพราะข้าพเจ้ามักอธิษฐาน ขอให้ได้พบกับสัตบุรุษผู้รู้ธรรม มีกรรมสัมพันธ์ที่ดีอยู่เป็นประจำ
อีกความประทับใจหนึ่งคือวันที่เดินจงกรม ท่านอาจารย์พาชมความงามของธรรมชาติภูเขาที่ยิ่งใหญ่ต้นไม้ที่สูงแข็งแรง ต้นหญ้าที่อ่อนโยน ท่านให้มองเห็นถึงความสวยงามของแต่ละสรรพสิ่งว่ามีความสวยงามที่แตกต่างกัน
เป็นช่วงเวลาที่สวยงามมากที่ได้ใกล้ชิดท่านอาจารย์ รู้สึกอบอุ่นใจเหมือนได้อยู่ใกล้ใกล้แม่ และท่านอาจารย์ได้นำศิษย์เดินจงกรม ไปในทางเดินที่เต็มไปด้วยหินก้อนเล็กใหญ่ที่แหลมคม ท่านอาจารย์เดินก้าวเท้าอย่างสม่ำเสมอ เหมือนเดินบนพื้นกระเบื้องเลย แต่ข้าพเจ้าเดินตามท่านอาจารย์ไม่ทันเนื่องจากหินบาดเท้าตลอดทาง พยายามเจริญสติให้ได้ ทำให้ได้เห็นประโยชน์ของหย่อมหญ้าที่อยู่ข้างข้าง ได้ใช้ประโยชน์ของต้นหญ้าที่ในเวลาปกติ เราไม่เคยเห็นความสำคัญของมันเลย แต่ในเวลานี้แค่หย่อมหญ้าเล็ก ๆ ก็รู้สึกขอบคุณที่ทำให้มีที่พักเท้าระหว่างทางเดิน ที่เต็มไปด้วยหินก้อนเล็กก้อนน้อยที่แหลมคมคอยตำเท้าตลอดเวลา
การปฎิบัติธรรมมาถึงวันสุดท้าย ถึงแม้อากาศจะเริ่มร้อนขึ้น แต่ข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกคุ้นชินเสียแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกภูมิใจในตนเองอย่างมาก ที่สามารถมาฝึกฝนตนเองในเรือนนักรบแห่งนี้ได้ครบครบ 7 วัน ซึ่งในทุก ๆ วันเป็นวันที่ได้รับบทเรียนที่ทรงคุณค่ามหาศาล
ชีวิตข้าพเจ้าเปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะเคยบอกกับลูก ๆ ว่าเมื่อเกษียณอายุ แม่ขอจะไปอยู่วัด ทำให้ลูก ๆ ไม่สนับสนุนในคราที่ข้าพเจ้าขอไปปฏิบัติธรรม เหมือนกับว่า ธรรมนั้นกำลังแยกแม่ไปจากพวกเขา แต่พอได้ปฏิบัติในสายเตโชวิปัสสนาแล้ว ข้าพเจ้าสามารถนำการภาวนามาปฏิบัติที่บ้านได้ และไม่ต้องหลีกเร้นจากครอบครัวช่วงบั้นปลายชีวิตอีกต่อไป สามารถนำการภาวนาที่บ้านได้ ขอแค่มีเวลาภาวนาเป็นหน้าที่เพิ่มขึ้นช่วงเช้า 1 ชั่วโมงและก่อนนอน 1 ชั่วโมงเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงประกาศกับครอบครัวว่า บัดนี้แม่มีหน้าที่เพิ่ม คือ การภาวนา แม่จะไม่ต้องออกจากบ้านจากเรือนเพื่อไปภาวนา และอยู่ที่วัดในวัยเกษียณอีกต่อไปแล้ว แม่มีหน้าที่เพิ่ม คือ การภาวนาที่บ้านนี่เอง ทำให้ลูก ๆ รู้สึกสบายใจและสนับสนุนข้าพเจ้า
กลับจากการปฏิบัติธรรมที่เตโชธรรมสถาน ประมาณเกือบ 2 เดือน ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถบบรรจุการภาวนาในชีวิตประจำวันได้ จึงนำข้อคิดเรื่อง เชื่อตัวเองไม่ได้มาพิจารณาในการตัดสินใจสมัครเข้าห้องไลน์กลุ่มตั้งสัจจะภาวนาของพี่ดารณี โดยมีกติกาว่า สมาชิกทุกคนต้องตั้งสัจจะว่า จะภาวนาเท่าใดโดยแบ่งเป็นช่วงเช้า และช่วงเย็น มีกำหนดส่งการบ้านทุก ๆ สิ้นเดือน ข้าพเจ้ากลัวว่าจะทำไม่ได้ ยิ่งกลัวยิ่งต้องสมัคร เพราะนี่จะเป็นสิ่งเดียวที่จะบังคับให้ข้าพเจ้าภาวนาที่บ้านสำเร็จ
ข้าพเจ้าจึงให้กัลยาณมิตรคุณสุภารัตน์ช่วยสมัครให้ข้าพเจ้าเข้ากลุ่มตั้งสัจจะ เพื่อทำให้ข้าพเจ้าสามารถบรรลุการภาวนาเป็นหน้าที่สำเร็จครั้งแรกในชีวิต
ข้าพเจ้ามีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างมาก สามารถภาวนาได้นานขึ้น 1-1:30 ชั่วโมง มีความอดทนมากขึ้น ความโกรธได้เจือจางเบาบางลง และในบางสถานการณ์ที่เรียกว่าทุกข์ ข้าพเจ้าสามารถผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ เกิดความเข้าใจในสถานการณ์นั้น
เช่นในคราน้ำท่วมถนนสีลมครั้งใหญ่ชั่วข้ามคืน รถยนต์ของข้าพเจ้าถูกน้ำท่วมจนเครื่องดับ เรียกว่า เครื่องน๊อค ไปเลยทีเดียว ข้าพเจ้าคิดวนเวียนอยู่หลายวัน เป็นทุกข์ใจมาก แต่ได้การภาวนามาช่วย เมื่อมีทุกข์ก็ขึ้นอาสนะภาวนา เปลี่ยนความทุกข์ไปจดจ่อที่การภาวนาเพ่ง ตรึง รู้แทน ทำให้สามารถปล่อยวางได้เร็วขึ้น นำมาใช้ในทุกที่ ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องเป็นบนอาสนะที่บ้านอีกต่อไป
และประการสำคัญที่สุด ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมกับองค์กร KBO เพื่อปกป้องพระเกียรติของพระบรมศาสดา ถือเป็นมหาบุญมหากุศลอันสูงสุดในชีวิตข้าพเจ้า ที่จะได้ทำหน้าที่พุทธบริษัท 4 ที่ดีงาม พุทธบุตรที่มีจิตกตัญญูอันประเสริฐคู่ควรแก่การยกย่องยิ่ง
#รชด #ภาวนา #สตปฏฐานส #พระอาจารยสมเดจพฒาจารยโต #รใหชด #เรองเลา #พระอาจารยสมเดจโต #ฆราวาส #ธรรมะ #ฝกสต #เพงดกาย #สมปชญญะ #สมาธ #ชำระจต #สต #นมตเตอน #ฝกสมปชญญะ #เตโชธาต #รตวทวพรอม #อาจารยอจฉราวดวงศสกล #ดจต #นอกวด #เพยรเผากเลส #ปฏบตธรรม #เผากเลส #วางเฉย #เปลยนชวต #ฆราวาสบรรลธรรม #สมเดจโต #อเบกขา #วปสสนา #เพง #รอยธรรมทตามหา #ขณะจต #นพพาน #เพยร #ธรรมแท #เพงดจต #กรรมฐาน #หลดพน #สมเดจพฒาจารยโต #เตโช #สตสมปชญญะ #จตบรสทธ #เตโชวปสสนา #ประสบการณ #เพยรภาวนา