ประสบการณ์ธรรม คุณพิมพ์คุณัช

ข้าพเจ้าอายุ 45 ปี อาชีพรับราชการ ในวัยเด็กข้าพเจ้าสุขภาพไม่แข็งแรง เป็นโรคหอบหืด เวลามีอาการจะทรมานมาก เมื่อเริ่มโตขึ้นได้ออกกำลังกาย เล่นกีฬา ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้นก็ไม่มีอาการหอบหืดแล้วจะเหลือแค่อาการภูมิแพ้ เช่น แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ที่มีกลิ่นแรง ๆ หรือกลิ่นน้ำหอม ซึ่งข้าพเจ้าก็ปรับตัวอยู่กับอาการเหล่านี้โดยไม่ได้ทุกข์มากมาย และในปี พ.ศ. 2545 ช่วงที่ข้าพเจ้าเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ข้าพเจ้ามีปัญหาเรื่องสุขภาพซึ่งหาสาเหตุไม่พบ คือ อยู่ ๆ ตาข้างซ้ายก็กระตุก ซึ่งไปตรวจเช็คดวงตาก็ปกติดี และอาการก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น ลามมากระตุกที่ปากทำให้ปากเบี้ยว ตอนนั้นคิดว่าอาจจะเกิดจากทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ จากการที่ข้าพเจ้าชอบทำงานกลางคืนจนถึงเช้าและช่วงกลางวันก็จะนอน ใช้ชีวิตแบบนี้ประมาณ 1 เดือนเพราะช่วงนั้นต้องเร่งทำงานทดลองและเขียนวิทยานิพนธ์ เมื่อเรียนจบอาการตาและปากกระตุกก็เริ่มดีขึ้น นาน ๆ จะเป็นสักครั้ง แต่แล้วในปี พ.ศ. 2549 อาการก็เริ่มกลับมาเป็นหนักอีกครั้ง เนื่องจากมีปัญหาเรื่องความรัก เกิดความทุกข์ใจ เครียดนอนไม่หลับ จึงส่งผลมาที่ร่างกายทำให้ต้องกลับไปหาหมอเพื่อรักษาอาการอีกครั้งและอยากรู้สาเหตุจริง ๆ ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะการกระตุกของตาและใบหน้า ทำให้ข้าพเจ้าเสียความมั่นใจในการทำงาน เวลาไปนำเสนองานหรือบรรยายก็จะมีอาการกระตุกที่ควบคุมไม่ได้ อยากเป็นตอนไหนก็เป็น
.
จากการสแกนสมอง (MRI) เพื่อเช็กความผิดปกติ ผลปรากฏว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีก สาเหตุเกิดจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเส้นหนึ่งมีลักษณะขอดและไปเบียดกดทับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 (เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า) ซึ่งอาการจะแสดงเด่นชัดเวลาที่นอนดึก พักผ่อนไม่พอ หรือเวลาตื่นเต้นมาก ๆ เส้นเลือดจะมีแรงดันมากและไปกดทับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ทำให้ใบหน้ากระตุก ซึ่งในตอนนั้นข้าพเจ้าได้รักษาตามที่หมอแนะนำ เริ่มจากกินยาลดการกระตุกประมาณ 1 ปี อาการไม่ดีขึ้นหมอจึงแนะนำให้ฉีดโบท็อกซ์เพื่อให้เส้นประสาทที่ใบหน้าชา เมื่อมีการกดทับที่เส้นประสาทหน้าจะไม่กระตุก ฉีดทุก 6 เดือน ตอนนั้นข้าพเจ้าทุกข์ใจมาก พร่ำบ่นกับตัวเองทำไมต้องเกิดกับเรา แล้วเมื่อไรจะหาย ช่วงนั้นสวดมนต์ทุกวัน ใครแนะนำว่าสวดบทไหนดีก็สวด บางครั้งสวดเป็นชั่วโมงกันเลยทีเดียว แต่นั่งสมาธินิดเดียวไม่เกินครึ่งชั่วโมง ซึ่งการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ข้าพเจ้าเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ๆ คุณพ่อเป็นคนสอนโดยก่อนนอนคุณพ่อจะให้ลูก ๆ มานั่งเรียนกันในห้องพระ และก็สอนสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิประมาณ 10 นาที ทำแบบนี้ทุกวัน นอกจากนี้ในช่วงเรียนมัธยมทางโรงเรียนได้พาไปปฏิบัติธรรมที่วัดวะภูแก้ว จังหวัดนครราชสีมา ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจการปฏิบัติสมาธิมากขึ้นและได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น นั่งสมาธิประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะอ่านหนังสือเสมอ ๆ ซึ่งในช่วงที่ป่วยนี้ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิแต่ก็ไม่สงบเหมือนสมัยก่อน ๆ ทำให้ไม่ค่อยอยากจะนั่ง ชอบสวดมนต์มากกว่า
.
อย่างไรก็ตาม อาการตากระตุกของข้าพเจ้าก็ไม่ดีขึ้นเลย หมอจึงนัดให้มาฉีดโบท็อกซ์ทุก ๆ 3 เดือน บางครั้งเจอหมอฝึกหัดฉีดผิดจุดนิดเดียวก็ทำให้ปากเบี้ยวไปเลย ข้าพเจ้าฉีดโบท็อกซ์ประมาณ 2 ปี เมื่อมาศึกษาพบว่าการฉีดโบท็อกซ์ไปนาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อตายได้ ก็เลยหยุดฉีดและเลือกที่จะดูแลร่างกายตนเอง เช่น ออกกำลังกาย พยายามไม่เครียด ไม่นอนดึก อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นและคิดว่าคงหายแล้ว จึงทำเรื่องขออนุญาตลาไปศึกษาต่อปริญญาเอก ซึ่งช่วงปีแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จนเริ่มเข้าปีที่ 2 ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าอาการจะกลับมาอีกแล้ว ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่หนักมาก แต่แล้วเช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นมามีอาการชาด้านซ้ายทั้งแถบ ตาและปากก็กระตุกมากขึ้น ตอนนั้นตกใจมากคิดไปต่าง ๆ นานาว่าจะเป็นอะไรไหม จะต้องทำอย่างไร พอเริ่มตั้งสติได้ก็ค่อย ๆ พิจารณาที่มาที่ไปที่เราเป็น สาเหตุมาจากการทำงานหนัก เดินทางบ่อย ร่างกายไม่ได้พัก และเครียดจากเรื่องเรียน ซึ่งครั้งนี้ส่งผลต่อร่างกายร้ายแรงมาก คิดว่าคงไม่คุ้มที่จะเอาร่างกายมาเสี่ยง เพราะถ้าเรียนจบไปแล้วร่างกายไม่สมบูรณ์ก็ทำงานไม่ได้ หรือถ้าระหว่างยังเรียนอยู่แล้วเป็นอะไรมากกว่านี้ก็ไม่คุ้ม ข้าพเจ้าปรึกษาทางครอบครัวและอาจารย์ที่ปรึกษา ทุกท่านก็เห็นด้วย จึงตัดสินใจลาออกและกลับไปทำงาน ซึ่งจากการกลับมาป่วยครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าเลือกวิธีสุดท้ายในการรักษาคือการผ่าตัด แต่การผ่าตัดก็มีผลข้างเคียง เช่น อาจจะทำให้ใบหน้าเบี้ยวหรือผ่าตัดแล้ววัสดุที่นำไปกั้นระหว่างเส้นเลือดกับเส้นประสาทหลุดออกมา การผ่าตัดก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ก็เลือกที่จะเสี่ยงเพราะอยากหายจากโรคนี้
.
แต่ก่อนที่จะถึงวันผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์ ประมาณกลางปี พ.ศ. 2554 เพื่อนที่อยู่อเมริกาได้แนะนำให้ไปเข้าค่ายหมอเขียว ที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ข้าพเจ้าตัดสินใจไปลองดู คิดว่าถ้าไม่ดีขึ้นก็กลับมาผ่าตัด แต่เมื่อได้เข้าค่ายฟังบรรยายของอาจารย์หมอเขียว แล้วก็พบทางออกของการรักษาตนเอง อาจารย์หมอเขียวสอนในเรื่องอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น การเอาพิษออกจากร่างกาย ปรับสมดุลร้อน-เย็นด้วยวิธีการต่าง ๆ และได้รับความเมตตาจากอาจารย์หมอเขียว แนะนำการดูแลตนเอง อาจารย์บอกว่าร่างกายของข้าพเจ้าร้อนเกิน ซึ่งเมื่อพิจารณาการกินอยู่ที่ผ่านมาก็พบว่าชอบทานแต่อาหารฤทธิ์ร้อนและอาหารอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการสะสมพิษในร่างกาย ตอนที่อยู่ในค่าย ร่างกายของข้าพเจ้าก็ค่อย ๆ ดีขึ้น นอกจากนี้อาจารย์หมอเขียวยังสอนอีกว่า คนที่ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการเบียดเบียนผู้อื่น ไปทำไม่ดีมาก่อน เมื่อเป็นแล้วก็ให้ยอมรับ รับเร็วก็หมดเร็ว ตอนนั้นข้าพเจ้าก็คิดว่าตนเองคงเคยทำกรรมอะไรบางอย่างมาแน่ ๆ ถึงได้เป็นแบบนี้มานานหลายปี ใจตอนนั้นก็ยอมรับชะตากรรม ชดใช้เขาไป หลังกลับจากเข้าค่ายข้าพเจ้าก็ยกเลิกการผ่าตัดและมุ่งเน้นมารักษาตนเองด้วยธรรมชาติบำบัด กินอาหารเป็นยา เป็นหมอดูแลตนเองซึ่งอาการต่าง ๆ ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นาน ๆ จะเป็นสักครั้งแต่อาการไม่รุนแรงจนทำให้เรารู้สึกกังวลหรือรำคาญ
.
แต่แล้วในปี พ.ศ. 2555 ข้าพเจ้าก็กลับมีอาการมากขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากคุณพ่อเสียชีวิต ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมาก เคว้งคว้าง นอนไม่หลับคิดถึงแต่คุณพ่อ ซึ่งทุกข์ครั้งนี้เป็นทุกข์แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย มันหนักมากในความรู้สึกขณะนั้น และก็คิดว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้มันหายไปเร็ว ๆ ไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้ ทุกข์ทั้งใจทุกข์ทั้งกาย ย่ำแย่ไปหมดและก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จะหาวิธีดับทุกข์อย่างจริงจัง เริ่มจากการอ่านหนังสือธรรมะ ซึ่งปกติก็อ่านอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้อ่านเยอะมาก ซื้อหนังสือธรรมะทุกเล่มที่คิดว่าจะช่วยเราได้ ถ้ามีใครแนะนำว่าที่ไหนไปปฏิบัติธรรมแล้วหายทุกข์ก็ไป แต่สุดท้ายก็ยังไม่หายทุกข์หรืออาจจะไม่ใช่หรือไม่ถูกจริตของข้าพเจ้า
.
ช่วงกลางปี พ.ศ. 2556 ธรรมะก็จัดสรรให้ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนสมัยเรียนมัธยมในเฟซบุ๊ก ซึ่งเรียนมัธยมต้นด้วยกันแต่อยู่กันคนละห้อง แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันเลย ข้าพเจ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนคนนี้จากที่เคยรู้จัก เขาจะเป็นสาวทันสมัย แก่นซ่า แต่มาเจอกันคราวนี้ทำไมถึงเรียบร้อย เข้าวัดทำบุญ ซึ่งเพื่อนก็แนะนำว่าไปปฏิบัติเตโชวิปัสสนากรรมฐานมาแล้วดีมาก ๆ ข้าพเจ้าเลยลองเข้าไปหาข้อมูลต่าง ๆ และได้สมัครเข้าคอร์สแรก (27 เมษายน–4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557) ซึ่งวันแรกที่ท่านอาจารย์มาให้กรรมฐานและกล่าวสอนธรรม เป็นวันที่ข้าพเจ้าเข้าใจคำว่าความทุกข์จากการพลัดพราก ทั้งจากเป็นและจากตายอย่างลึกซึ้ง น้ำตาไหลเป็นทาง จิตข้างในบอกว่าพอแล้วกับการเกิด ไม่อยากมาเจอทุกข์แบบนี้อีกแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าพบความหมายที่แท้จริงของชีวิต รู้จุดหมายที่จะต้องเดินไปให้สุดทาง ซึ่งการปฏิบัติในคอร์สแรกนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถมีสติ สมาธิจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับการปฏิบัติได้เลย เพราะหน้ากระตุกดึงรั้งตลอดเวลา มีแต่ความร้อนและจิตใจโปร่งโล่งเบา พอจบคอร์สก็มาปฏิบัติที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ
.
ในปี พ.ศ. 2559 ข้าพเจ้าไปปฏิบัติที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ ในช่วงที่สอบอารมณ์ก็ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ว่ามีแต่ความร้อนและการกระตุกที่ใบหน้าตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถมีสติ สมาธิจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับการภาวนาได้เลย ท่านอาจารย์ก็เมตตาให้กำลังใจให้เพียรปฏิบัติและท่านจะแผ่เมตตาให้ ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งทำให้เกิดกำลังในการปฏิบัติมากยิ่งขึ้น และในช่วงปี พ.ศ. 2560 ข้าพเจ้าได้ร่วมปฏิบัติภาวนากับกลุ่มกัลยาณมิตรที่มีความพากเพียรและมีวินัยอย่างยิ่ง ทำให้มีความพากเพียรในการปฏิบัติมากขึ้น แม้บางครั้งจะมีเบื่อหน่าย ท้อแท้บ้างก็ได้กัลยาณมิตรคอยให้กำลังใจสู้ไปด้วยกัน ในการปฏิบัติภาวนาของข้าพเจ้าเวลาเข้าคอร์สจะมีแต่ความร้อน และเมื่อกำลังจะจดจ่อตั้งมั่นได้ ใบหน้าก็จะกระตุกดึงรั้งให้จิตออกจาก ความตั้งมั่น ไปอยู่ที่การกระตุกของใบหน้า บางครั้งข้าพเจ้าก็ท้อใจที่ไม่สามารถจดจ่อได้อย่างเต็มที่ เหมือนไม่ได้อะไรจากการภาวนาเลย แต่ก็ยังคงพากเพียรปฏิบัติต่อไป ซึ่งผลจากการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องนี้ได้ชำระบาปกรรมออกไปเรื่อย ๆ ทำให้การกระตุกของใบหน้าก็ค่อย ๆ ลดลง สามารถจดจ่อตั้งมั่นได้ดีขึ้นและการชำระกรรมค่อย ๆ ลงลึกเข้าไปข้างในมากขึ้น ซึ่งมีอยู่คอร์สหนึ่งตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายเวลาที่ข้าพเจ้าก้มกราบพระ จะรู้สึกปวดหัวระบมไปหมด เหมือนมีก้อนอะไรไหลมารวมกัน โดยเฉพาะข้างซ้าย แค่ขยับก็ปวดร้าวไปทั้งหัว และบางคอร์สก็ปวดอยู่ข้างในหัวด้านซ้ายเหมือนมีเข็มมาทิ่มแทง อยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ ให้คลายความปวด แต่ทำได้แค่กัดฟันสู้และวางอุเบกขาให้ได้ ในคอร์สล่าสุดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 การกระตุกดึงรั้งที่ใบหน้าไม่มีเลย มีแค่การปวดหัวข้างซ้ายบ้างเล็กน้อย ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าการปฏิบัติภาวนาในครั้งนี้สามารถจดจ่อ ตั้งมั่นและแนบแน่นอยู่กับการภาวนาได้นานขึ้น ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย จิตใจก็โปร่งโล่งเบา จิตนิ่งขึ้นไม่ค่อยหวั่นไหวหรือปรุงแต่งอะไรมากมายเหมือนเมื่อก่อน
.
จากวันแรกที่ข้าพเจ้าได้มาเป็นศิษย์และปฏิบัติภาวนาอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้เป็นเวลา 8 ปี ชีวิตของข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องจิตใจที่เมื่อก่อนจะเป็นคนที่ขี้หงุดหงิด ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่เราหวังไว้ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็โกรธและเป็นทุกข์ แต่เมื่อได้ปฏิบัติภาวนาใจก็เย็นลง เข้าใจอะไรหลาย ๆอย่างชัดเจนขึ้นอย่างที่มันเป็น ปรุงแต่งน้อยลง อัตตาตัวตนก็น้อยลง และที่เด่นชัดคือร่างกายของข้าพเจ้า ซึ่งช่วงแรกที่มาปฏิบัติ ถ้าใครเคยเห็นใบหน้าของข้าพเจ้าจะเห็นเลยว่าใบหน้าข้างซ้ายเบี้ยว ตาข้างซ้ายก็จะเล็กกว่าข้างขวา เวลายิ้มยิ่งเห็นชัด แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นค่อย ๆ กลับมาเหมือนเดิม ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องพากเพียรปฏิบัติภาวนาเพื่อชำระหนี้กรรมนี้ต่อไป ชีวิตของข้าพเจ้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง และจะไม่มีวันนี้เลยถ้าไม่ได้รับโอกาสและมหาเมตตาจากท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เมตตาเกื้อหนุนแผ่พลังคุ้มครองข้าพเจ้าตลอดมาทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
.
ข้าพเจ้าขอน้อมกราบในพระมหาเมตตา พระมหากรุณาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณพระศรีรัตนตรัย พระอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า และขอน้อมกราบท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
.
ข้าพเจ้าน้อมขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าอาจได้เคยล่วงเกินมาก่อน หากมีบุญกุศลใดที่เกิดจากธรรมทานในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศบุญทั้งหมดนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร