ประสบการณ์การปฏิบัติเตโชวิปัสสนาโดย คุณสุพริศร์
พลันวางหูจากโทรศัพท์ที่แจ้งว่า ข้าพเจ้าได้รับการตอบรับให้เข้าปฏิบัติเตโชวิปัสสนาระหว่างวันที่ 10 – 17 ธันวาคม 2560 พร้อมกับการมีโอกาสได้เข้าร่วมงานภาวนาเพื่อแผ่นดินหลังจบการปฏิบัติด้วยนั้น ข้าพเจ้าไม่รีรอรีบโทรหาเพื่อแจ้งข่าวดีนี้ แก่บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ในบ้าน “ในที่สุด ลูกก็จะได้ไปปฏิบัติเตโชวิปัสสนาแล้วนะครับแม่” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันและดีใจเป็นที่สุดกับมารดาผู้เป็นกัลยาณมิตรทางธรรม และเป็นผู้แนะนำเส้นทางสายธรรมอันเอกอุแห่งกึ่งพุทธกาลนี้ให้แก่ข้าพเจ้า โดยมารดาข้าพเจ้ามีความยินดีและกล่าวอนุโมทนากับข้าพเจ้าด้วยความปลื้มปีติ ด้วยความพยายามอย่างแข็งขันในการปฏิบัติอานาปานสติ ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ภายหลังจากการเข้าคอร์สอบรมในช่วงเดือนกรกฏาคมปีเดียวกันนั้น และด้วยแรงอธิษฐานที่ข้าพเจ้าตั้งจิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ให้ได้เรียนวิชาขั้นสูงนี้เพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน ตลอดจนความช่วยเหลืออย่างดียิ่งของกัลยาณมิตร ทำให้ข้าพเจ้าไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาก่อนที่จะได้เดินทางไปปฏิบัติ ทั้งในเรื่องงานที่อยู่ดี ๆ ก็มีงานมากมายที่ต้องสะสางให้สำเร็จจนวินาทีสุดท้ายก่อนไปปฏิบัติ และเรื่องครอบครัวที่สมาชิกบางท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะไปปฏิบัติ
และแล้วในเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม แม้ว่าจะมีอุปสรรคขัดขวางข้าพเจ้าทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่อาการท้องเสียที่อยู่ดี ๆ ก็เป็นในตอนเช้า แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ท้อถอย รีบทานยาดักไว้ให้ชะงัก และออกเดินทางด้วยใจแน่วแน่ ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ นั่นคือเตโชธรรมสถาน ซึ่งให้การต้อนรับข้าพเจ้าเป็นอย่างดีด้วยความสงบสัปปายะ และเป็นที่ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนบ้านในทุก ๆ ครั้งที่กลับมา โดยในคราวนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าจะได้เรียนรู้และปฏิบัติเตโชวิปัสสนาในฐานะศิษย์ใหม่ ข้าพเจ้ารู้สึกมีขวัญและกำลังใจ รวมทั้งมีความมั่นใจในสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำว่าข้าพเจ้าเดินทางมาในเส้นทางธรรมที่ถูกต้องแล้ว
ในสองวันแรกของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าปฏิบัติอานาปานสติอย่างพากเพียรเพื่อเพิ่มพูนและพัฒนากำลังสมาธิให้เป็นฐานอันแข็งแกร่ง เตรียมความพร้อมที่จะยกระดับการปฏิบัติเป็นวิชาขั้นสูงคือเตโชวิปัสสนาต่อไป โดยข้าพเจ้ามีสติจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ เป็นยามเฝ้าประตูได้ต่อเนื่องมากขึ้น ๆ และบ่อยครั้งที่มีสติจดจ่อจนไม่จดจ่อ และเหมือนไม่มีลมหายใจ พร้อมกับแขนและขาที่มีความร้อนเนือง ๆ อยู่ตลอด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดสภาวธรรมใด ๆ ขึ้น ข้าพเจ้าเพียรปฏิบัติตามคำสอนคือรู้แล้ววางเฉย ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ มีสติอยู่ที่ลมหายใจตลอดเวลา
เมื่อถึงวันที่สาม ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ได้กรุณาเดินทางมาให้กรรมฐานแก่เหล่าศิษย์ใหม่ด้วยตัวท่านเอง แม้ว่าท่านจะมีอาการป่วยแทบจะไม่มีแรงและเสียงในการพูด ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความมุ่งมั่นว่าจะต้องไม่ทำให้ท่านอาจารย์ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการสอน โดยจะเพียรปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกประการ ไม่ตามดู ตามรู้ หรือมีปฏิกิริยาใด ๆ ต่อสภาวธรรมทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์จะต้องใช้พลังในการแก้ไขปัญหา ที่เกิดจากความประมาทของศิษย์
การนั่งปฏิบัติในช่วงแรก ๆ ของข้าพเจ้านั้นเป็นไปอย่างทุลักทุเล เมื่อท่านอาจารย์เรียกสอนเตโชวิปัสสนาเป็นรายบุคคล ครั้งแรกเพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าก็เกิดอาการมือไม้สั่นเหมือนเจ้าเข้า เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ทรงธรรมแห่งกึ่งพุทธกาล ซึ่งคาดว่าเป็นความกลัวการถูกเตโชธาตุเผาของกิเลสที่ฝังอยู่ในจิต และเมื่อนั่งปฏิบัติก็เกิดความเมื่อยล้าอยู่เนือง ๆ คอยแต่ขยับตัวไปมาจนทำให้จิตไม่มีความตั้งมั่นที่จุดสัมผัสเพียงพอ
อย่างไรก็ดี ในช่วงหัวค่ำการภาวนาก็เริ่มเข้าที่ ข้าพเจ้าเริ่มมีสติรู้ชัด และเพ่งที่จุดสัมผัสได้ต่อเนื่องมากขึ้น มีความร้อนปรากฏขึ้นภายในกายมากกว่าที่เคยเกิด ในการปฏิบัติอานาปานสติ ซึ่งข้าพเจ้าก็พยายามรู้แล้ววางเฉยตามคำสอน ไม่ว่าจะมีความร้อนหรือไม่มี ข้าพเจ้าจะไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ แต่มีสติจดจ่ออยู่ที่จุดสัมผัสทุกวินาที นอกจากนี้ แม้ในเวลาที่ไม่ได้นั่งปฏิบัติภาวนาหรือเดินจงกรม ข้าพเจ้าก็พยายามปฏิบัติตามคำสอน คือมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน กิน ดื่ม ซึ่งก็ช่วยให้ข้าพเจ้ามีสติที่คมชัดมากขึ้นทุกวันในการปฏิบัติวันที่สี่และห้า ข้าพเจ้าประสบกับสภาวธรรม 2 อย่าง นั่นคือ “เวทนา” และ “นันทิ”
อย่างแรกนั้นคือเวทนาที่เกิดขึ้นทั่วแผ่นหลัง โดยเฉพาะกระดูกสันหลังที่ทำให้ข้าพเจ้าแทบจะนั่งปฏิบัติต่อไม่ได้ อยากจะถอนภาวนาออกมามาก พร้อมกับการปรากฏของภาพความทรงจำที่ได้เคยกระทำกับบุพการีไว้ นั่นคือการเถียงคุณแม่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีอยู่เนือง ๆ ซึ่งได้สอบถามสภาวธรรมนี้กับทั้งท่านอาจารย์อัจฉราวดีและพระคุณเจ้าสัญชัย จิตตภโล ที่เมตตามาเป็นผู้สอนในคอร์สนี้ด้วย ซึ่งทั้งสองท่านชี้แจงว่าเป็นกรรมหนักที่ทำต่อบุพการี และชี้แนะให้ข้าพเจ้ากลับไปขอขมากรรมต่อบุพการีด้วยจิตนอบน้อมและสำนึกผิดอย่างแท้จริง
อย่างที่สองที่มีเข้ามาอยู่ตลอดเวลานั่นคือ บทเพลงที่เข้ามาสู่จิตแทบทุกอัลบั้มเพลงฮิต แม้แต่เพลงที่ไม่ได้ฟังบ่อย ๆ และแทบจะนึกไม่ถึงเพลงนี้ โดยในบางครั้งเพลงก็เปลี่ยนมาเป็นบทสวดมนต์บ้างสลับกันไป และบางครั้งก็เป็นภาพยนตร์ที่ชื่นชอบผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ เหล่านี้คือนันทิหรือความเพลิดเพลิน ซึ่งข้าพเจ้าพยายามอย่างยิ่งยวด ในการวางเฉยต่อสภาวธรรมเหล่านี้ และได้เห็นภัยเวรของการติดนันทิ อันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติภาวนา ด้วยความที่ข้าพเจ้าเป็นคนชอบฟังเพลง ชอบดูภาพยนตร์ ท่านอาจารย์จึงชี้แนะให้ลดและละการติดความเพลิดเพลินเหล่านี้
ถัดมาในวันที่หกและเจ็ด ข้าพเจ้ามีอุเบกขามากขึ้นต่อเวทนาที่ยังคงกระหน่ำซ้ำเติมเข้ามา และมีความรู้ชัดต่อภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นมาจากสังขารมากขึ้น ๆ โดยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ข้าพเจ้าภาวนาแล้วมีความร้อนสูงมากจากจิตที่ตั้งมั่น มีสมาธิจดจ่ออยู่ที่จุดสัมผัส และรู้ชัดต่อสิ่งที่มากระทบและวางเฉยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้าพเจ้าเหงื่อไหลโทรมกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และอาการเวทนาที่แผ่นหลังและไหล่ได้หายไปในชั่วพริบตา สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ข้าพเจ้า และทำให้เข้าใจมากขึ้นด้วยจิตในความเกิดและดับไป อันเป็นธรรมดาของทุกสิ่ง ซึ่งพระคุณเจ้าสัญชัยฯ ได้กล่าวย้ำอยู่เสมอว่า เวทนานั้นไม่ใช่ของเรา เป็นของกิเลส เราไม่ต้องสนใจหรือให้ค่า ให้ความสำคัญ เราเป็นเพียงผู้รู้ และเป็นผู้เพ่งจดจ่อจุดสัมผัสต่อไป ปล่อยให้เตโชธาตุทำงาน และธรรมะเป็นผู้แสดงผล ดังนั้นแล้ว กายเราที่มีเวทนานั้น เหตุใดเราจะข้ามพ้นไปไม่ได้ด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นกลาง
และในการปฏิบัติบูชาแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในช่วงหัวค่ำวันที่เจ็ดนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นอย่างยิ่งจากการฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์อัจฉราวดี และได้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อย่างสุดความสามารถโดยไม่เปลี่ยนท่านั่ง และพยายามมีขันติและอุเบกขาสูงสุด ไม่เคลื่อนไหวเปลี่ยนระยะจุดสัมผัส แม้จะมีเวทนามากเพียงใดก็ตาม โดยเมื่อถอนจากภาวนา ข้าพเจ้ารู้สึกมีจิตเบาสบายขึ้น และรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนได้เกิดใต้ร่มบวรพระพุทธศาสนา และมีวาสนาได้มาปฏิบัติภาวนาในสายธรรมแท้ที่มุ่งสอนพระธรรมที่พระบรมศาสดาตรัสรู้ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในความเห็นที่ถูกต้อง
ในวันสุดท้ายของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าได้รับเรียกจากท่านอาจารย์ให้สอบอารมณ์ ซึ่งข้าพเจ้าได้รายงานสภาวธรรมไปตามความเป็นจริงว่าจิตของข้าพเจ้ามีความเบาสบายขึ้นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และวางอุเบกขาได้ดีขึ้นมากต่อสภาวธรรมที่ปรากฏ โดยท่านอาจารย์ได้ชี้แนะให้พากเพียรปฏิบัติต่อไป การรู้เฉยต่อสภาวธรรมไม่ใช่การสั่งให้สภาวธรรมนั้นหายไป แต่คือการไม่ทำปฏิกิริยากับสภาวธรรมหรือสิ่งที่มากระทบนั้น นอกจากนี้ท่านอาจารย์ให้ความเมตตาอธิบายว่า ความก้าวหน้าในการปฏิบัติหาได้วัดจากการได้อภิญญา หรือการเห็นสภาวธรรมอันใดอันหนึ่งไม่ แต่วัดได้จากความกตัญญูรู้คุณในจิต ที่ไม่ใช่การท่องมาจากหนังสือ แต่เป็นคุณสมบัติของจิตแท้ดั้งเดิม ที่ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง รวมทั้งการมีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันกิเลส ซึ่งผู้ปฏิบัตินั้นเองพึงรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในจิตตนเมื่อมีสิ่งเร้าภายนอกมากระทบ
และที่สำคัญที่สุด ท่านอาจารย์ได้ฝากแง่คิดอันประเสริฐ ให้กับข้าพเจ้าในการดำรงชีวิตทางโลกหลังจากออกจากคอร์สภาวนาไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าทำงานอยู่ในองค์กรรัฐแห่งหนึ่งที่ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากประชาชน และเป็นหนึ่งในองค์กรที่ได้รับการยกย่องว่ามีหัวกะทิของประเทศทำงานอยู่รวมกันมากที่สุด ความมีอัตตาย่อมสูง และหากดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท จะเพิ่มพูนให้หลงห่างไกลจากความเป็นจริงของชีวิต โดยข้าพเจ้าขออนุญาตคัดลอกและอ้างอิงข้อความ คำสอนจากบทความ “พลังพลิกขั้ว” (โพสต์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560) ที่ท่านอาจารย์ได้บันทึกไว้ เพื่อถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้เข้าใจความอย่างถูกต้องที่สุด ดังต่อไปนี้
สุดท้าย ในการสอบอารมณ์วันสุดท้ายของปี 2017 อาจารย์ได้สอนศิษย์ใหม่ผู้หนึ่ง ซึ่งมีวิถีงานอาชีพที่ดีงามอยู่ในสถาบันที่เป็นที่ปรารถนาและชื่นชมของคนในชาติ การอยู่ในสภาวะแวดล้อมเช่นนั้นทุกเมื่อเชื่อวัน ย่อมยากที่จะวางจิตให้พ้นจากอำนาจการปรุงแต่งให้หลงสมมติมายา แล้วเมื่อมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเข้มข้น ให้จิตพ้นจากวัฏสงสาร ต่อเมื่อกลับคืนสู่ชีวิตการงาน ก็ย่อมยาก และไม่รู้ว่าจะวางจิตและวางตัวอย่างไร ไม่ให้ดูแปลกแยก แตกต่างจากคนที่เขาหลงสมมติมากอยู่ ซึ่งสภาวะเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นแก่ศิษย์ไม่น้อย เพราะศิษย์อาจารย์ล้วนเป็นผู้มีความสามารถในทุกสาขาวิชาชีพ ย่อมประสบสภาวะ งง วางตัวและวางใจ ไม่ถูก อาจารย์จึงทิ้งท้ายไว้ว่า “เมื่อกลับออกไปแล้ว….ไม่ต้องขวางโลก ไม่ต้องต้านโลก แต่..จงพลิกโลก” เพราะการพลิกโลก คือวิธีเดียว ที่จะทำให้การรู้แจ้งเกิดขึ้นได้ ขวางไปก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ให้เกิดไม่ได้ มีแต่จะถูกบีบและถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบ ต้านไปก็มีแต่จะสูญสิ้นกำลังใจ เพราะสู้พลังฝั่งมืดที่จะดาหน้าถาโถมมาต้านไม่ได้ ในเมื่อโลกียะกับโลกุตระ มันคือความเป็นที่สุดของโลกคนละขั้ว เหมือนขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ดังนั้นก็จงสะสมกำลังไว้ อยู่ในโลกด้วยความเข้าใจ เหมือนบัวไม่ติดน้ำ เติบโตอยู่ได้ด้วยฐานที่เป็นโคลนตม แต่จิตไม่ติดจมกับสิ่งสกปรกที่กายอาศัยอยู่ เมื่อสะสมกำลังและบารมีพอแล้ว จิต จะพลิกความจริงที่ถูกคว่ำปกปิดไว้ด้านล่าง จับพลิกหงายกลับด้าน จนเกิดสภาวะการรู้แจ้งเห็นจริง Enlightenment
ข้าพเจ้าขอน้อมรับคำสอนของท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกลด้วยจิตนอบน้อมและกตัญญูยิ่ง โดยจะเพียรปฏิบัติภาวนาให้เป็นหน้าที่ และดำรงจิตให้เป็นบัวไม่ติดน้ำ ไม่ขวางหรือต้านโลก แต่จะพลิกโลกให้สำเร็จจงได้…และเมื่อข้าพเจ้าได้กลับมาดำรงชีวิตแบบโลกๆ หลังจากการออกคอร์สภาวนา นอกจากข้าพเจ้าจะพยายามดำรงจิตให้เป็นอุเบกขา ไม่ติดใจในทุกข์หรือสุข และเพียรปฏิบัติเตโชวิปัสสนาให้เป็นหน้าที่ ข้าพเจ้ายังได้ขอขมากรรมจากบุพการีที่ได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตามที่ได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์และพระคุณเจ้าสัญชัย ยังความปลื้มปีติให้เกิดกับทั้งบิดามารดาเป็นอย่างยิ่ง
ข้าพเจ้าพยายามละนันทิ โดยลด ละการฟังเพลงและดูภาพยนตร์ เพราะเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่ขัดขวางการปฏิบัติ ข้าพเจ้าพยายามรักษาศีลห้าอันเป็นเครื่องกั้นนรกให้ไม่พร่อง โดยเฉพาะศีลข้อ 4 และ 5 ที่ข้าพเจ้าเคยบกพร่องอยู่เนือง ๆ และได้เผยแผ่ประสบการณ์การภาวนาให้แก่กัลยาณมิตร และผู้ที่สนใจในองค์กรที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ เพื่อให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง ต่อพระพุทธศาสนาและสายธรรมให้มากที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าจะทำได้ ขอความกล้าหาญและความสำเร็จในการก้าวออกจากความเป็นทาสของกิเลส จงบังเกิดแก่ผู้มีวาสนาทุกท่านด้วยครับ
#รชด #ภาวนา #สตปฏฐานส #พระอาจารยสมเดจพฒาจารยโต #รใหชด #เรองเลา #พระอาจารยสมเดจโต #ฆราวาส #ธรรมะ #ฝกสต #เพงดกาย #สมปชญญะ #สมาธ #ชำระจต #สต #นมตเตอน #ฝกสมปชญญะ #เตโชธาต #รตวทวพรอม #อาจารยอจฉราวดวงศสกล #ดจต #นอกวด #เพยรเผากเลส #ปฏบตธรรม #เผากเลส #วางเฉย #เปลยนชวต #ฆราวาสบรรลธรรม #สมเดจโต #อเบกขา #วปสสนา #เพง #ขณะจต #นพพาน #เพยร #ธรรมแท #เพงดจต #กรรมฐาน #หลดพน #สมเดจพฒาจารยโต #เตโช #สตสมปชญญะ #จตบรสทธ #เตโชวปสสนา #ประสบการณ #เพยรภาวนา